SKY TOWER สัญลักษณ์ของเมืองอ๊อคแลนด์และทิวทัศน์แถวบ้านโฮสต์
สวัสดีค่ะทุกคน เราชื่อว่า"มี่" นะคะ ปัจจุบันอายุ 17 ปีแล้วค่ะ.. (แต่ตอนที่อัพที่พันทิปยังอายุ 16 อยู่ค่ะ) หลายๆคนอาจจะรู้จักหรือคุ้นๆเราแล้วผ่านเว็บไซต์ minimore.com ใช่มั้ยคะ เรายืนยันนะคะว่าเป็นคนๆเดียวกันค่ะ 555 ที่เราย้ายมาที่นี่เพราะว่าคอมเราอัพบล็อกลงเว็บนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วค่ะ มันไม่ใช่ความผิดของทางผู้พัฒนาเว็บไซต์แต่อย่างใดค่ะ เพื่อความสบายใจของเราเองและเราก็อยากจะทำเว็บไซต์เองมานานแล้วอะค่ะ เราเลยย้ายมาทำที่นี่แทน มี domain ของตัวเอง อยากจะ setting อะไรก็ทำได้ จะออกแบบยังไงก็ตามใจตัวเอง เราเลยรู้สึก comfortable ที่จะทำเว็บไซต์ที่นี่น่ะค่ะ
เราคิดว่าบล็อกเราน่าจะเหมาะกับคนที่ชอบอ่านอะไรยาวๆ ให้รวดเดียวจบมากกว่าเนอะ เพราะงั้นถ้าชอบอ่านยาว ๆ ก็อ่านเลยตามสะดวกจ้า ส่วนใครที่ชอบอ่านสั้น ๆ ให้แบ่งอ่านวันละ chapter ก็ได้จ้า
ก่อนอื่น... เราขออนุญาตเขียนกฎในการอ่านบล็อกของเราก่อนนะคะ มีดังนี้ค่ะ..
1. ไม่อนุญาตให้นำบทความและรูปภาพต่างๆไปใช้โดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากพบเห็นภาพของเราถูกนำไปใช้จะดีมากๆหากแจ้งให้เราทราบค่ะ เราขอเบลอ/แปะสติ๊กเกอร์หน้าบุคคลที่เกี่ยวข้องในภาพนะคะเนื่องจากเราเป็นห่วงความปลอดภัยของคนในภาพค่ะ กลัวปัญหาการ cyber bullying มากๆค่ะ ต้องขอโทษในส่วนนี้ด้วยนะคะนักอ่านทุกท่าน
2. หากมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเรียนภาษาในต่างประเทศหรือมีคำถาม โปรดติดต่อที่อีเมล askmiemimimi@gmail.com, Facebook Page: Mie as a media com student - ชีวิตมี่เมื่อเรียนมีเดียคอม, Instagram: miedya_thetraveller และ Twitter: @askmiemimimi นะคะ แล้วเดี๋ยวเราจะตอบกลับให้เร็วที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้เลยค่ะ แล้วจะน่ารักมากๆเลยถ้า follow เหล่า social media ของเราค่ะ สามารถแวะมาคุยทักทายกันได้นะคะ หรือจะส่ง feedback/ข้อที่ควรปรับปรุงมาให้เราด้วยก็ได้นะคะ
3. เราจะไม่หายไปแน่นอนค่ะ หากยังทยอยอัพไม่เสร็จ เนื่องจากว่าปีนี้เราเรียนม.5 แล้วค่ะ เราเรียนเยอะมากๆ แต่เราจะรีบพยายามอัพให้เสร็จนะคะ รบกวนรอเรานิดนึงเนอะ 😆
4. ขออย่าส่งข้อความมาถามข้อมูลส่วนตัว, ส่งข้อความมาด่ากันแบบภาษาที่ไม่สุภาพ (หากต้องการส่งคำวิจารณ์ ได้โปรดส่งมาบอกเราดี ๆ ก็ได้ค่ะ เราไม่ว่าอะไรอยู่แล้วค่ะ) หรือส่งข้อความมาขายของและขายตรงรวมไปถึงแชร์ลูกโซ่นะคะ
หมดแล้วค่ะ เราคิดว่ามันคงไม่ยากเกินไปที่จะปฏิบัติตามใช่มั้ยคะ? แล้วก็เราขอขอบคุณก่อนเลยนะคะที่เข้ามาอ่านบล็อกของเรา รักทุกคนค่ะ ❤️
ในตอนแรกก่อนจะเข้า chapter ต่าง ๆ นั่นคือการรวบรวมหัวเรื่องย่อๆของเราไว้ก่อนนะคะ ถ้าอยากได้รายละเอียดต้องไล่อ่านตรง chapter เอา จะได้ไม่เข้าใจผิดว่าเราเขียนวนละกันน้าาา ยังไงก็ขอบคุณทุกๆคำติชมค่ะ 🥰
เรากำลังจะเริ่มพูดถึงในพาร์ทต่างๆที่สำคัญแล้วนะคะ 3... 2... 1... GOOOOOO!!!!! ในช่วงปิดเทอมเมื่อ 14 เมษายน- 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา (ปี 2018) ตัวมี่เองได้มีโอกาสได้ไปซัมเมอร์ที่เมืองอ๊อคแลนด์ (เราติดอ่านว่า "อ๊อค-แลนด์" มากกว่า "โอ๊ค-แลนด์" ค่ะ เพราะว่าเวลาอ่านโอ๊คแลนด์ทีไรนึกถึงเมือง Oakland ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ทุกทีเลยค่ะ ถ้าใครไม่มั่นใจเรื่อง pronunciation แนะนำให้เปิด Google Translate ฟังดูนะคะ ^^) ประเทศนิวซีแลนด์ค่ะ เราไปกับน้องนุ่นนะคะ เป็นลูกสาวของเพื่อนแม่แต่สนิทกันมาก ๆ เพราะตอนเด็ก ๆ เล่นด้วยกันจนเหมือนเป็นญาติเลยค่ะ น้องนุ่นอายุ 13 ปีค่ะ (คือว่าเห็นเอเจนซี่เราบอกมาว่าถ้าน้องอายุขั้นต่ำ 13 แล้วต้องการจะเดินทางเดี่ยวพร้อมกับเด็กที่อายุ 16 ปีขึ้นไปย่อมทำได้ค่ะ ที่เราเลือกนิวฯ ก็เพราะ minimum age ที่สามารถเดินทางเดี่ยวได้มันน้อยที่สุด น้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ค่ะ
เหตุผลที่เราไม่เดินทางไปกับกรุ๊ปก็เพราะว่า
1. ทางโรงเรียนของเราบังคับเรียนซัมเมอร์ช่วงปิดเทอมใหญ่สำหรับนักเรียนม.ปลาย ทำให้ปิดเทอมไม่ตรงกันกับกรุ๊ปซะส่วนมาก
2. เราชอบไปกันเองมากกว่า เพราะว่าไม่ชอบไปกับกรุ๊ปคนไทยเนื่องจากเวลาเรียนอาจต้องเรียนแบบ closed group แล้วภาษามันจะพัฒนาได้ช้ามากกว่าเรียนกับชาวต่างชาติ)
เป็นจดหมายคอนเฟิร์มการสมัครเรียนและอาจใช้ในการขอวีซ่า
รายละเอียดเกี่ยวกับ airport transfer เพื่อไปที่บ้านโฮสต์แฟมิลี จะระบุวันที่,เวลา,เลขไฟล์ทบิน,สนามบินและจุดนัดพบกับพี่ที่ขับรถ และวิธีการแก้ปัญหาหากไม่พบคนขับรถหรือของที่วางนอกเหนือจากกระเป๋าเดินทาง เช่น เซิร์ฟบอร์ด จะมีค่าของเพิ่มเติมตามราคาที่เขาแจ้งไว้ด้านบนเลยจ้า
รายละเอียดของ airport transfer ขากลับไทยเหมือนของข้างบนจ้า
มีที่อยู่,วิธีการติดต่อโฮสต์,สมาชิกภายในครอบครัว,รายละเอียดของบ้านและสถานที่ที่ใกล้บ้าน
คำแนะนำในการอยู่กับโฮสต์อ่านเอาไว้ดีกว่าจ้า จะได้อยู่ด้วยกันแบบสงบสุขเนอะ
สำหรับเด็กๆ Young Learner Programme (YL) ถ้าอยากให้เพื่อนๆมาเยี่ยมที่บ้านหรืออยากไปค้างบ้านเพื่อน ต้องถามครอบครัว (ไม่รู้ว่าที่ไทยหรือโฮสต์) เพื่อความแน่ใจ และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีต้องเขียนจดหมายอนุญาตจาก NZLC หากจะกลับบ้านช้านะจ๊ะ
🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡
คือว่าจะมาพิมพ์ chapter ต่างๆที่เราจะพิมพ์ทิ้งไว้ก่อนจ้า เผื่อหลงลืมอะไรไปบ้างงี้แหละ แต่ตอนพิมพ์จริงเราไม่ได้เรียงตามนี้เด้อ เราเรียงตามสิ่งที่เรานึกออก 55555 (🔴= พิมพ์ไปแล้ว) 1. เรื่องวีซ่านิวซีแลนด์,การเตรียมจัดกระเป๋าเดินทาง,ของฝาก Host Family และวิธีการ pack toiletries (🔴 พิมพ์เรียบร้อยจ้า) 2. เรื่องรีวิวการบินไทย BKK-AKL-BKK เกริ่น.. การบินไทยใช้ Boeing 787-9 จ้า สะดวกสบายพอสมควรเลย แต่ไม่สบายตรงที่เป็น Economy Class ละกันนะ (🔴 พิมพ์เรียบร้อยแล้วจ้า) 3. เรื่อง Host Family,ห้องนอน,ซักผ้า และอาหารที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ 2 มื้อต่อวัน (🔴 พิมพ์เรียบร้อยแล้วจ้า)
4. เรื่องการเดินทางใน Auckland โดยรถบัสและวิธีการซื้อ-ใช้บัตร AT HOP Card และเรื่องซิมการ์ด,การดู usage data และวิธีใช้อินเตอร์เน็ตให้ไม่เปลืองเพื่อป้องกันเน็ตหมด (มี่ใช้ของ Vodafone)
(🔴 พิมพ์เรียบร้อยแล้วจ้า) 5. เรื่องการเรียนการสอน,การวัดระดับภาษาอังกฤษและโรงเรียน NZLC รวมไปถึงวิธีซื้ออาหารกลางวัน เกริ่น.. ใน NZLC จะมีคนญี่ปุ่นลากกระเป๋ามาขายอาหารญี่ปุ่นทุกกลางวันเลย มีร้านอาหารไทยใต้โรงเรียนด้วย หรือถ้าอยากประหยัดเงินบ้างก็ซื้อวัตถุดิบมาทำกินเองเลย (🔴 พิมพ์เรียบร้อยแล้วจ้า) 6. เรื่องการดูหนังในต่างประเทศครั้งแรก เรื่อง Avengers Infinity War ที่ Event Cinema Queen Street ในตัวเมืองอ๊อคแลนด์เลย (หาไม่ยาก แต่เดินไกล) (🔴 พิมพ์เรียบร้อยแล้วจ้า)
7. เรื่องการท่องเที่ยวในอ๊อคแลนด์ (เราได้ไปที่ Rotorua, Waitomo and Ruakuri caves, Skyline Rotorua, 3D Trick Art Gallery, Sky Tower, City Centre, Glenfield Mall, Glenfield Pool and Leisure) คือเราไม่ค่อยได้ไปไหนเยอะหรอก แค่เวลาเรียนเสร็จก็แทบไม่เหลือเวลาไปทำอะไรแล้ว 8. เรื่องการซื้อของกินของใช้ที่ Pak n'save และ Countdown (เตือนไว้ก่อนว่าอย่าเฉียดเข้าไปที่ new world supermarket เป็นอันขาด เพราะของแพงกว่าทั้ง 2 ที่ที่เรากล่าวถึงมาก Teacher Dania บอกว่า NW มันสำหรับคนรวยเข้า คือของมันเหมือนกันแต่เปลี่ยน package นิดหน่อย)
เกริ่นนำเป็นหัวข้อสั้นๆก่อนแล้วกันเนอะ
มี่ดำเนินเรื่องผ่านเอเจนซี่แห่งหนึ่ง (ถ้าอยากได้คำแนะนำจริงๆให้หลังไมค์มาค่ะ ไม่อยากให้เข้าใจว่าเป็นหน้าม้า) ที่เราไปกับเขาผ่านอังกฤษในปีที่แล้วนั่นเอง เป็นเอเจนท์เดียวกัน คือถ้ามีเอเจนซี่มันจะสบายมากๆ แค่บอกเขาว่าจะไปเรียนที่นี่นะ เขาก็จะส่งใบ application form มาให้กรอกเพื่อสมัคร หลังจากนั้นก็ส่งกลับให้เขาพร้อมเงินมัดจำ เขาก็จะบอกขั้นตอนมาเรื่อยๆ คือที่สำคัญจริงๆก็จะมี list มาขอเอกสารไปทำวีซ่าค่ะ แต่เรามีหน้าที่ส่งเอกสารภาษาไทยนะคะ แล้วเขาจะแปลเอกสารให้ค่ะ รวมค่าดำเนินการทำวีซ่าและค่าวีซ่าไปหมดแล้วค่ะ เบ็ดเสร็จไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน, ค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่ารถบัส เราจ่ายไปประมาณ 108,000 บาท ถ้าตัวเลขกลมๆก็ 110,000 บาทค่ะ
ในส่วนของการเดินทางข้ามทวีปนั้น.. เราไว้วางใจเลือก การบินไทย รักคุณเท่าฟ้า (อิอิ) เราโดนค่าเสียหายไป 34,700 บาท/คน เอเจนซี่ของเราจองไว้ให้ เพราะว่าคุณป้าเราเป็นห่วงว่าการต่อเครื่องมันจะเสียเวลามากกว่าและกลัวพวกเด็ก 2 คน ไปหลงอยู่ในสนามบินแล้วไปไม่ถึงอ๊อคแลนด์เพราะตกเครื่องค่ะ แถมการต่อเครื่องมันดูเหนื่อยมากกว่าการบินตรงไปเลย ซึ่งการบินไทยเป็นแค่สายการบินเดียวที่บินไปที่สนามบินนานาชาติอ๊อคแลนด์ทุกวัน (ถ้าถามว่าแล้ว Air New Zealand ล่ะ ไม่บินหรอ.. อ๋อ ไม่ได้บินค่ะ Air NZ เขาบินลงชางงี สิงคโปร์แล้วก็เปลี่ยนเครื่องเป็นสิงคโปร์แอร์ไลน์กลับไทยค่ะ เหมือนกับว่าทาง Air NZ เขาบินตรงลงอเมริกามากกว่า.. มีถึง 32 เที่ยวบินแบบ non-stop ต่อสัปดาห์เลยนะ ตอนเราอยู่ในนิวจะมีโฆษณาของสายการบินนี้ค่อนข้างมากแล้วเราก็สนใจมากๆซะด้วย เพราะเท่าที่เคยอ่านรีวิวมา สายการบินนี้เป็นสายการบินฝรั่งที่เขาพร้อมใจให้บริการกับผู้โดยสารมากๆเลย) โดยไฟล์ทขาไปจะบินอยู่ที่ 11 ชั่วโมง (แต่ของเราได้กัปตันขาซิ่ง ไปถึงก่อนเวลาจริง 50 นาที เครื่องแลนด์ตอน 10.10 น.) โดยจะเสิร์ฟอาหาร 2 มื้อ เป็นมื้อเย็น 1 ครั้ง (มีตัวเลือก 2 อย่าง) และมื้อเช้า 1 ครั้ง (ไม่มีตัวเลือกเลย) และขากลับจะอยู่ที่ 12.15 ชั่วโมง เสิร์ฟอาหาร 2 มื้อ เป็นมื้อบ่าย 1 ครั้ง (มีตัวเลือก 2 อย่าง) และอาหารเย็น 1 ครั้ง (ไม่มีตัวเลือกเลย)
เราได้ applied ไปเรียนที่ NZLC Auckland หรือ New Zealand Language Centres ค่ะ ส่วนเรื่องสายการบินที่เราเลือกนั่งก็คือ "การบินไทย" ในตอนแรกเราสมัครเรียนไปในหลักสูตร Young Learner Programme หรือว่า YL ค่ะ เป็นหลักสูตรให้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 17 ค่ะ แต่จริงๆอายุ 16 ก็ขอลงคลาสผู้ใหญ่ได้แล้วค่ะ แต่เพราะเอเจนซี่ของเราอยากให้เรามีเพื่อนรุ่นเดียวกันมากกว่าลงไปเรียน adult class ค่ะ (จริง ๆ เราลง YL แต่ไม่ได้เรียน YL เพราะตอนสอบ placement test เราได้คะแนนเป็น intermediate 2 หมายความว่า "เลเวลสูงกว่า intermediate เฉยๆ แต่ต่ำกว่า upper-intermediate" แล้วในหลักสูตรของ YL มันมีถึงแค่ intermediate 1 Academic department เลยเดินมาถามเราว่าจะเรียนกับเด็กหรือเข้าคลาสผู้ใหญ่ เราเลือกว่าจะเรียนกับผู้ใหญ่ค่ะ โดยในห้อง 216 เราเป็นนักเรียนที่เด็กที่สุดในห้องนั้นเลยค่ะ เดี๋ยวเราจะขยายความให้ฟังทั้งหมดในตอนหลังนะคะ)
ปล. แต่ตอนนี้ถ้าเราได้กลับไปจริงๆ (เดือนพ.ย. 2018) เราคงได้เรียน Upper-Intermediate ค่ะ เพราะว่าตอนนี้ภาษาอังกฤษเราระดับ Upper-Intermediate แล้วค่ะ จากผลสอบ IELTS ของเรา (อ่านต่อ)
สำหรับ Homestay หรือ Host Family ตัวมี่ได้เป็นโฮสต์คนฟิลิปปินส์ที่ย้ายมาที่นิวซีแลนด์ตั้งแต่ปี 2002 ค่ะ เป็นครอบครัวใหญ่ที่บ้านตั้งอยู่ในเขตเกลนฟิลด์ (Glenfield District) ห้องนอนของพวกเรามี 2 ห้อง ห้องนึงเป็นห้องใหญ่มาก ๆ เราให้นุ่นนอนห้องนั้น และเรานอนห้องเล็กค่ะ แต่ตอน 2 วีคแรกเรานอนห้องเดียวกับนุ่นเพราะยังกลัว ๆ อยู่ แต่หลังจากนั้นเราก็ย้ายไปนอนคนเดียว
โดยในทุกๆวันที่เราต้องไปเรียนเรากับนุ่นจะนั่งรถบัสสาย 955 และ 958 เราขึ้นจากป้าย 3875 หรือ 461 Glenfield Road ค่ะ แล้วไปลงแถว Sturdee St near Pakenham St. ค่ะ จะมีป้ายชื่อบริษัท IGNITE ถ้าจำไม่ผิดเป็นบริษัทสถาปนิกค่ะ พอเรียนเสร็จเราก็จะมีเวลาหลังเลิกเรียนไปเดินเล่นใน city centre หรือว่าเขตตัวเมืองอ๊อคแลนด์นั่นเองค่ะ
โดยสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ต้องอยู่กับโฮสต์แฟมิลีเท่านั้น และต้องกลับถึงบ้านก่อน 18.00 น. หรือจะกลับช้ากว่านั้นต้องแจ้งให้โฮสต์ทราบอย่างน้อยล่วงหน้า 2 ชั่วโมง เดี๋ยวเราขอแบ่งออกเป็น section ก่อนนะคะ เราว่ามันน่าจะอ่านได้ง่ายมากกว่าแบบนี้ ใกล้ๆกับบ้านโฮสต์เราจะมี Glenfield Mall เราสามารถเดินไปห้างได้ใช้เวลา 15 นาที และสระว่ายน้ำ Glenfield Pool and Leisure ที่นี่เราแนะนำมาก เราชอบไปว่ายน้ำทุกวันอาทิตย์เพราะมันมี diving boards 3 ระดับและ Hydroslide เป็นสไลเดอร์ นึกแล้วคิดถึงที่นั่นมากๆเลยค่ะ
ส่วนเรื่องการท่องเที่ยว อย่างที่เราได้บอกไปว่าตัวเราเองไม่ได้ไปกับกรุ๊ป ทำให้เราไม่ได้ไปเที่ยวเยอะเท่าที่ควรจะเป็นค่ะ สารภาพความจริงคือเรากับนุ่นวางแผนการท่องเที่ยวก่อนจะไปลงบน Google Maps เยอะมากค่ะแต่ไม่ได้ไปตามที่คิดไว้สักเท่าไหร่ เพราะเรียนเยอะใช่มั้ยคะหลังจากนั้นมันก็จะเกิดอาการขี้เกียจ แล้วก็หมกตัวกันอยู่ในย่าน City Centre แค่นั้นแหละค่ะ
ส่วนทริปบางอันเราแนะนำว่าไปกับ Action Tours กับทางโรงเรียน NZLC น่าจะดีกว่า เช่น Sky Tower เพราะว่าราคามันถูกลงกว่าการไปเองตั้ง 10 NZD ค่ะ คือไปกับโรงเรียนราคา 15 NZD ไปเอง 25 NZD ค่ะ แต่ทางโรงเรียนมันไปตอนกลางวัน ถ้าใครที่เป็นผู้ใหญ่อายุมากกว่า 18 ปีที่อยากเห็นวิวตอนกลางคืนก็ยังต้องเสียเงิน 25 NZD เหมือนเดิมค่ะ
อ้อ! ลืมไปได้ยังไงกัน.. สำหรับโฮสต์เราเขาพาไปเที่ยวที่เมืองโรโตรัว (Rotorua) ค่ะ ถ่ายรูปที่ 3D Trick Art Gallery, ไปเล่น Luge และ Gondola ที่ Skyline Rotorua, เที่ยวถ้ำ Waitomo และ Ruakuri Caves
สำหรับการเดินทางจากบ้าน-โรงเรียน-บ้าน ในเขตของอ๊อคแลนด์จะมีบัตรนามว่า "AT HOP Card" ค่ะ สามารถซื้อได้ที่ร้านสะดวกซื้อ (บางที่ก็ไม่มีนะคะ) แต่ของเราคือโฮสต์พาไปที่ pak n'save พอดีแล้วก็ให้ซื้อบัตรเลย สนนราคาอยู่ที่ 20 NZD ค่ะ เป็นมัดจำเงินค่าบัตร 10 NZD และเงิน top up ในบัตรอีก 10 NZD และค่าโดยสารของบัตร HOP จะอยู่ที่ 3.30 NZD/75 บาท ต่อเที่ยว (ไป-กลับก็ 6.60 NZD/150 บาทต่อวัน อาทิตย์นึงก็อาทิตย์ละ 33 NZD/740 บาท) สามารถใช้ได้กับทั้งรถบัส, เรือเฟอร์รี่และก็รถไฟค่ะ
ปล. ที่นี่ไม่มีรถไฟฟ้าใต้ดินนะคะ แต่เห็นเขาน่าจะกำลังทำรถไฟฟ้าใต้ดินกันอยู่ 😉เตือนตัวเองไว้ดีๆว่าพอซื้อบัตรแล้วให้เข้าไป register card ที่ https://at.govt.nz เพราะเวลาทำบัตรหายไป card balance ในบัตรจะสามารถถ่ายโอนเข้าบัตรใบใหม่ได้ทันที.. ที่ดีที่สุดเราว่าไม่หายเลยจะดีกว่า เพราะถ้ามันหายก็ต้องเสียเงินมัดจำบัตรใหม่อีก 10 NZD อยู่ดี
- จบการเกริ่นนำจ้า -
ปล. เราขอโทษที่เกริ่นไว้เยอะมากๆ เราอยากให้รู้ว่าที่จะอ่านมันครอบคลุมกันเนื้อหาที่อยากรู้กันมั้ย ถ้ามันยาวไปหรือไม่ชอบ เราขอโทษด้วยนะ
🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡
Chapter 0.1 : Preparing myself with a luggage.. 🧳
- Souvenirs for my host family 🇵🇭 -
มาที่พาร์ทนี้มี่อยากจะพูดถึงการซื้อของฝากโฮสต์แฟมิลีในต่างแดนค่ะ หลาย ๆ คนอาจจะอยากรู้ว่ามันจำเป็นต้องซื้อให้ขนาดนั้นเลยหรอ? มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นค่ะ ประมาณว่ามีก็ดีไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีไปให้โฮสต์มันเหมือนเป็น First Impression หรือความประทับใจแรกเมื่อแรกพบค่ะ (เหมือนเวลาที่เราเจอใครครั้งแรกแล้วรู้สึกชอบหรือไม่ชอบตั้งแต่เจอครั้งแรกอะค่ะ)
มี่มองว่าเป็นสิ่งที่ควรซื้อค่ะ เพราะว่าตอนนั้นป้าของมี่เคยไปซัมเมอร์ที่ฝรั่งเศส (สมัย 20 กว่าปีที่แล้ว) เขาก็ซื้อของที่ระลึกจากไทยให้โฮสต์นะคะ แต่เขาไม่ได้ให้โฮสต์ตอนแรกดันไปให้ตอนจะกลับ เขาบอกว่าโฮสต์ดูแลไม่ดีเท่าไหร่ เช่น ไม่ได้บอกว่าอาบน้ำห้ามเกิน 5 นาทีแล้วป้ากำลังล้างฟองแชมพูออกจากผมค่ะ โฮสต์ปิดน้ำค่ะ!!! แต่โชคดีที่ล้างฟองหมดพอดี แล้วเขาก็ไม่ได้บอกป้าเรื่องห้ามอาบน้ำเกิน 5 นาทีค่ะ ครั้งต่อมาป้าสระผมก็โดนปิดน้ำอีก ป้าเลยจับจุดได้ว่าเขาไม่ให้ใช้น้ำเกิน 5 นาที แล้วก็เรื่องการ treat ของโฮสต์ป้าบอกว่าเขา treat เหมือนไม่ค่อยเต็มใจทำให้ค่ะ แล้วพอป้าให้ของที่ระลึกวันสุดท้าย เขาก็ดีใจมากแต่เขาก็คงแอบรู้สึกผิดที่ดูแลเด็กไม่ดี
ป้าเลยแนะนำให้เอาของฝากไปให้เขาวันแรกที่ถึงบ้านโฮสต์น่ะค่ะ (นี่ขนาดของมี่มีของฝากไปเขายังดูแลไม่ค่อยจะดีเลยค่ะ 55555)
- เห็นพวกสร้อยข้อมือแบบผ้ามั้ยคะ (ภาพกลางด้านบนสุด) แบบนั้นต่างชาติเขาก็ชอบใส่นะคะ เราซื้อส่งให้โพเอ้ 3 เส้น เราพยายามเลือกสีให้เหมือนผูกผ้า 3 สีให้ต้นไม้ค่ะ 5555 เรารู้สึกว่ามันเท่ห์ดี ดูโก้เก๋ ถ้าจำราคาไม่ผิด 2 เส้น 120 ส่วน 3 เส้น 150 บาทค่ะ แนะนำให้ซื้อ 3 เส้นเพราะคุ้มและถูกกว่าค่ะ รวมถึงสร้อย (ภาพด้านซ้ายสุดด้านล่าง) เขาก็ซื้อไปใส่เวลาแต่งตัวแบบ hipster กันหรือชุดที่เดินริมทะเล เราเคยเห็นเขาใส่แล้วสวยมากๆค่ะ
- รูปเศียรพระหรือพระพุทธรูป ส่วนมากต่างชาติซื้อไปคือเอาไปตกแต่งบ้านค่ะ เขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธหรอก แต่เท่าที่เห็น ๆ และแอบฟังเขาคุยกันคือเขามองว่าเป็นไอเท็มหายากหรือว่าแปลกดี เลยซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านเกิดเมืองนอนไปน่ะค่ะ อย่าเข้าใจผิดนะคะว่าเขาลบหลู่หรือไม่เคารพศาสนาเรา
- ที่แนะนำคือสบู่แกะสลักหรือแม่พิมพ์ที่ผลิตสบู่ออกมาน่ารัก ๆ ค่ะ แต่จะดีมากถ้าเลือกเป็นรูปดอกไม้ เพราะกลิ่นหอมทะลุแร็ปกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะที่เป็นดอกมะลิดาเมจรุนแรงเป็นพิเศษเลยจ้า
- ผ้าพันคอหรือโสร่ง เราก็แนะนำนะคะ ลองเลือกที่เป็นผ้าไทยหรือลายไทย ๆ หน่อย ถูกใจใช่เลย แต่อย่าเลือกแบบลายมาก ๆ นะคะสงสารคนใส่ เอาที่พอเหมาะพอควรจ้า
- ที่มี่ซื้อให้โฮสต์ที่นิวฯเนี่ย... มี่ซื้อให้ครบตามลิสต์สมาชิกครอบครัวในใบรายละเอียดเรื่องโฮสต์ค่ะ
ได้แก่.. กระเป๋าลายช้าง, กางเกงลายช้างสีม่วง, โมเดลรถตุ๊กตุ๊ก, เทียนหอมรูปดอกไม้, สบู่แกะสลักรูปดอกบัว, แม็กเน็ตติดตู้เย็น, ของชำร่วยเล็กๆที่มาธูปและรูปช้าง (เรียกไม่ถูกว่าคืออะไรเหมือนกันค่ะ), แท่นวางเทียนและกระเป๋าเล็กๆลายช้างฝั่งข้างในค่ะ ตอนที่โฮสต์ได้ไปเขาก็ดูดีใจนะคะ
- ส่วนพวงกุญแจกับกระเป๋าลายช้างฝั่งข้างนอกเป็นของเพื่อน ๆ ที่ NZLC ค่ะ ส่วนมากจะเป็นเพื่อน ๆ ในห้องที่เรียนกับเราค่ะ แล้วเราก็เก็บไว้ 1 ใบให้โพเอ้ (ก็เพื่อนสนิทเราอ่ะเนอะ สนิทกันไวมากด้วย) อยากบอกว่าของฝากจากไทยนี่ Rare Item สุดๆค่ะ ฝรั่งหรือต่างชาติในเอเชียยังชอบเลย สีหน้าของพวกเขาเวลาได้รับของคือดีใจมากเวอร์ ส่วนของโพเอ้นี่ได้รับสิทธิ์พิเศษค่ะ มี่ส่งของไปให้นาง 11 อย่างวันที่ 14 ธันวาคม 2018 แต่ของยังไม่ถึงนะคะ
✅สำหรับของที่ระลึกหรือ Souvenir สามารถซื้อได้ที่มาบุญครองชั้น 6 เลือกซื้อได้ทั้งชั้นเลยค่ะ แนะนำให้ใช้สกิลการต่อราคานะคะ อย่างตอนมี่ซื้อ Snow Globe วัดอรุณฯ คนขายเป็นชาวอินเดียขาย 150 บาท เราถามว่าลดราคาหน่อยได้มั้ยเขาลดเหลือ 120 แล้วสักพักก็ให้เราที่ 100 บาทค่ะ แต่บางคนถ้าบ้านใกล้จตุจักรมากกว่าแนะนำให้ไปจตุจักรนะคะ เพราะราคาจะถูกกว่า ของมีให้เลือกเยอะกว่า แต่ข้อเสียคือค่อนข้างร้อนและของอาจจะเยอะจนเลือกไม่ถูกค่ะ อิอิ
- Let's travel & explore the world with a dream in luggage 🌏 -
- สำหรับการจัดกระเป๋าเดินทาง (เราใช้ของ Eminent ใบเดิมกับตอนที่ไปอังกฤษค่ะ ไซส์ประมาณ 30 นิ้ว เป็นกระเป๋าแบบ Hard Case) แนะนำให้เช็คสภาพอากาศช่วงที่เราจะไปเรียนหรือไปอยู่ค่ะ ของเราไปแค่ 1 เดือนและเราก็มีเสื้อผ้าที่ซื้อจากการไปอังกฤษนำมาใช้ใหม่ที่นิวซีแลนด์
- แบรนด์ที่แนะนำถ้าซื้อจากไทยคือ Cotton on ค่ะ มีเสื้อแขนยาวแบบ Sweater น่ารัก ๆ เพียบเลย ราคาย่อมเยา คุณภาพปานกลางถึงดี
- ส่วน Leggings มี่ซื้อแบบ Heatgen Thermal ของ Marks & Spencer และมีกางเกงจาก Bossini
- แล้วพกเสื้อกันหนาวแบบกันลม,กันหนาวและกันฝนของ The North Face (ภาพซ้ายด้านบน) เราใช้เฉพาะวันที่หนาวหรืออุณหภูมิต่ำกว่าวันอื่น ๆ และเสื้อกันหนาวแบบผ้าคัตตอนของ Esprit (ตัวสีน้ำเงิน ภาพซ้ายด้านล่าง)
- แต่สำหรับใครที่ไประยะยาว 9 เดือนถึง 1 ปี เราแนะนำให้พกเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็นไปใส่ที่นั่นแล้วค่อยหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ที่ประเทศปลายทางดีกว่าค่ะ เพราะราคาจะถูกกว่าและคุณภาพดีมากกว่าที่ไทย
- ในการแพ็คกระเป๋า เราแนะนำให้หาซื้อชุดจัดระเบียบกระเป๋า (อันนี้ป้าเราได้มาจาก JASPAL มาฟรีแต่ว่าเขาให้เรายืม) มันช่วยทำให้เก็บของ-หาของ-ประหยัดพื้นที่มากขึ้นกว่าเดิม เราใช้ 3 ถุง ถุงแรกใส่ชุดชั้นใน ถุงที่ 2 ใส่มาม่าและของกิน และถุงสุดท้ายเอาไว้ใส่ยา (ไปต่างประเทศแนะนำให้พกยาสามัญประจำบ้านไป และวิตามินซี Nat C (ไม่ใช่แบบของเด็กกินนะ แบบหวาน ๆ อ่ะ ไม่ใช่เด้อ ต้องเป็นแบบเม็ดสีน้ำตาลอ่อน ๆ เม็ด 1,000 MG) หรือ Blackmores ก็ได้ ให้กินทุกวัน วันละ 1 เม็ด มันช่วยเรื่องสุขภาพให้สามารถต่อสู้กับอากาศหนาว ๆ ที่ทำให้เราไม่สบายได้ด้วย หลัก ๆ คือป้องกันหวัด
❤️วิธีการแพ็ค Toiletries:
นี่ก็สำคัญมากๆ เพราะเราต้องแพ็คให้ดี ป้องกันการหกหรือกกระจายในกระเป๋า มี่เลยไปซื้อกระเป๋าใส่เครื่องอาบน้ำเล็กๆแบบนี้ที่ Supersports ตรงแผนกที่เขาขายเกี่ยวกับกระเป๋า Backpack จะมีใบนี้ขาย เราซื้อมาประมาณ 1,100 บาทจ้า ในนี้ที่เรายัดลงไปได้ก็คือสบู่,ยาสระผม,แปรงสีฟัน,สบู่เด็ก,โฟมล้างหน้า,คัดตอนบัด (ที่ปั่นหู) ส่วนที่ที่ไม่พอก็มียาสีฟัน,สบู่ก้อนและผ้าอนามัย แต่พวกนี้เป็นของแห้งไม่น่าเป็นห่วงเท่าพวกสบู่เหลวกับยาสระผมค่ะ
สำหรับการแพ็คด้วยถุงซิปล็อคอีกที :
1. เตรียมถุงซิปล็อคใบใหญ่ (เราซื้อถุงไซส์นี้มาจากสำเพ็ง ราคาโลละ 80 บาท) + กรรไกรและสก็อตเทป
2. นำสก็อตเทปปิดรอบๆฝาขวดและบนฝาขวดก่อน ควรติดให้มิดชิด
3. นำขวดสบู่,ยาสระผมหรือน้ำยาที่ติดสก๊อตเทปเรียบร้อยแพ็คไว้ในถุงซิปล็อค
4. เอาส่วนถุงซิปล็อคที่เหลือมาม้วนๆกันให้พอดีกับขนาดขวดและติดสก็อตเทปให้เรียบร้อย
5. นำขวดที่ซีลเรียบร้อยแล้วไปใส่ในกระเป๋าเก็บเครื่องอาบน้ำที่ซื้อมา
เวลาจัดกระเป๋าหรือก่อนจัดกระเป๋าแนะนำให้เขียน list ของเอาไว้ก่อนแล้วค่อยหยิบและเช็คของอีกทีจะดีมาก เพื่อป้องกันความผิดพลาดหรือลืมของสำคัญไป และเขียนจำนวนไว้ด้วยก็ดีค่ะ ตัวอย่างข้างล่างจ้า
👗สำหรับส่วนที่เป็นฝั่งที่เราเอาไว้วางเสื้อผ้า:
- สำหรับเสื้อชั้นในและกางเกงชั้นใน: เราใช้เซ็ทจัดกระเป๋าเดินทางเป็นตาข่ายสีดำของ Muji ใส่บรากับกางเกงชั้นในไว้ในเซ็ทจัดกระเป๋าเดินทาง ทำให้หาง่ายแล้วก็ไม่กระจายด้วยค่ะ
- สำหรับเสื้อยืดหรือเสื้อเอาไว้ใส่นอน: เราพับแล้วม้วนตามภาพเลยค่ะ เพราะว่าประหยัดพื้นที่ ทำให้ใส่ของหรือเสื้อผ้าได้เยอะขึ้น แล้วเสื้อก็ไม่ยับด้วย
- สำหรับเสื้อ Sweater หรือเสื้อที่ยาวปิดก้น: เราพับเอาไว้ด้านบนแบบเสื้อ Minnie กับมิกกี้สีน้ำเงิน
- สำหรับกางเกงและเลกกิ้งส์: แล้วแต่คนถนัดค่ะ จะม้วนเอาหรือจะพับปกติก็ได้ แต่มี่พับปกติแล้วเอาไว้ด้านล่างสุดเพื่อเป็นฐานรองรับการกระแทกเวลาที่เขาโหลดกระเป๋าลง Cargo ค่ะ
🧳สำหรับฝั่งที่เป็นฝากระเป๋า:
- ฐานด้านในสุด: เป็นผ้าเช็ดตัว (พับครึ่งผืน) และผ้าเช็ดผม (ใช้เต็มผืน) เอาไว้รองช่วยลดแรงกระแทก
- เอาของฝากของโฮสต์แฟมิลีใส่ไว้ในกระเป๋าลายช้างให้หมด: ต้องจัดให้ดีๆมันจะใส่ได้หมดค่ะ ส่วนกระเป๋าตังค์ลายช้างเราวางไว้ข้างๆของฝากโฮสต์เพื่อไม่ให้มันขยับนะคะ
- ถุงสีเหลือง: เป็นกระเป๋าใส่ยาสามัญ ใส่ยังไงก็ได้ เอาที่สะดวกจ้า
- อุปกรณ์การเรียน: เราวางแฟ้มเพื่อเอาไปใส่ชีทและใบประกาศนียบัตร, พจนานุกรมภาษาอังกฤษ, เครื่องเขียนต่างๆ และสมุดสำหรับจดบันทึก (อย่าลืมเอาสมุดไปด้วยนะคะ เพราะว่าหนังสือที่ NZLC เป็นหนังสือยืมเรียน)
- ของใช้ส่วนตัวอื่น ๆ: เช่น ผ้าอนามัย (เผื่อแบบที่นิวซีแลนด์ไม่ถูกใจ เพราะที่นี่เขาใช้แบบสอดมากกว่าเป็นแผ่น แต่ก็มีแบบแผ่นขายเหมือนกัน), slippers (แนะนำให้พกไปนะจ๊ะ เพราะพื้นบ้านที่นิวซีแลนด์ค่อนข้างเย็น ส่วนของอังกฤษนั่นเย็นมาก), มาม่าเกาหลีหรือนิสชินของไทย (เอาไปคลายความคิดถึงอาหารไทยหรือของเผ็ดๆ)
สุดท้ายเมื่อแพ็คกระเป๋าเดินทางเสร็จเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมซื้อสายรัดกระเป๋ามารัดกระเป๋าอีกรอบนะจ๊ะมันช่วยให้กระเป๋าเราปิดสนิทแน่นอน 100% กันเผื่อตัวล็อคกระเป๋ามันเด้งออก แล้วก็เผื่อแถวที่เขาโหลดกระเป๋ามีโจร อิอิ
🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡
✈️ Chapter 0.2 : go to New Zealand and get back to Thailand by Thai Airways 🇳🇿🇹🇭
- สำหรับการเช็คอินออนไลน์ของการบินไทย: ให้คลิก ที่นี่
โดยการเช็คอินออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือจะทำได้ต่อเมื่อ 24 จนถึง 1 ชั่วโมงก่อนบินหรือเวลาเครื่องออก สำหรับใครที่ไม่เข้าใจวิธีการเช็คอินออนไลน์ ให้เข้าไปที่เว็บที่แนบลิงก์ให้และคลิก "คู่มือการใช้งาน" จะมีไฟล์ PDF ขึ้นมาและสอนวิธีการเช็คอินออนไลน์ให้ค่ะ พอไปถึงพี่พนักงานก็จะถามเราว่า "เช็คอินออนไลน์มาหรือยังคะ" ถ้าเช็คมาแล้วก็ยื่นพาสปอร์ตกับวางกระเป๋าหรือของที่จะโหลดลง Cargo เครื่องบินได้เลยค่ะ
- สำหรับเรื่องน้ำหนักกระเป๋า: มี่มีบัตร Royal Orchid Plus แบบ Silver เลยได้น้ำหนักกระเป๋าเพิ่มจาก 30 เป็น 40 กิโลกรัมค่ะ (แต่น้ำหนักจริงของกระเป๋ามี่คือ 27 กิโลกรัมค่ะ)
💞สิทธิประโยชน์จากการบินไทย (บัตรเงิน)
-โบนัสพิเศษ 3,000 ไมล์ ในแต่ละครั้งที่ท่านได้รับหรือรักษาสถานภาพสมาชิกบัตรเงิน
- สิทธิ์ในการรับสัมภาระก่อนสิทธิ์ในการเพิ่มน้ำหนักกระเป๋าอีก 10 กิโลกรัม จากน้ำหนักที่ระบุบนบัตรโดยสาร (ยกเว้นกรณีในเส้นทางบินที่มีการพิจารณาน้ำหนักกระเป๋าเป็นจำนวนชิ้น และอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางเส้นทางบิน)
บูธแลกเงินอยู่ชั้น 4 ด้านในสุดนะคะ (เราจำได้ว่าอยู่ชั้นเดียวกับที่เช็คอิน)
ข้อมูลเพิ่มเติมคลิก ที่นี่
- สำหรับเรื่องการแลกเงินที่สนามบินสุวรรณภูมิ: ป้าเราลองโทรถามที่ Superrich สีเขียวแล้วปรากฎว่าต้องสั่งจองเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ประมาณ 2-3 วันเพื่อความชัวร์ ป้าเราเลยโทรเช็คที่ SCB และสั่งจองเงินไว้ค่ะ เพราะที่ SCB สุวรรณภูมิมีเงินให้แลกได้เลย สำหรับใครที่แลกไม่ทันจริง ๆ แนะนำให้แลกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาไปก่อน แล้วค่อยไปแลกเป็นเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ที่ประเทศนิวซีแลนด์ไปเลยค่ะ แต่อาจจะขาดทุนนิดหน่อย ถ้ารับได้หรือไม่สนใจอยู่แล้วก็ไม่เป็นไรค่ะ ของเราคุณป้าแลกเงินไว้ให้ตัวเลขกลม ๆ เป็น 1,500 NZD หรือประมาณ 31,xxx บาทปลายๆ - 32,xxx บาทต้นๆ ค่ะ แต่เราใช้ไม่หมดนะคะ เหลือกลับมาประมาณ 600 NZD ประมาณ 13,xxx บาทค่ะ
ข้ามมาต่อกันที่เรื่องเครื่องบินต่อดีกว่าเนอะ
ก่อนหน้าที่เราจะเข้าเกทคือเรากับครอบครัวแล้วก็น้องนุ่นไปนั่งแช่กันที่ DEAN&DELUCA เรานั่งกินช็อคโกแลตปั่นไง ช็อคร้านนี้อร่อย เป็นการนั่งกับครอบครัวก่อนไม่ได้เจอกันประมาณ 26 วันอ่ะนะ 5555 นั่งไปนั่งมาลืมเวลา Boarding Time วิ่งกันตาตั้งจ้า!!!!! แต่ไม่เป็นไร พวกเราไปทันเวลาแบบหอบแฮ่กๆ ไปไม่ทันก็วิ่งเอานะคะ ลดน้ำหนักไปด้วย ฮึบๆ
- ภาพแรก (ภาพซ้ายบน) : คือพี่ๆภาคพื้นเขาจะให้คนที่นั่งข้างหลังหรือท้ายลำขึ้นก่อน เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว (ตั้งแต่แถวที่ 41 ไปถึง 63) ใครไม่ได้ได้ Seat Number นี้ไม่ต้องไปนะค้าบบบ
- ภาพที่ 2 (ด้านขวาบน) : เป็นพี่ๆภาคพื้นที่คอยช่วยสแกนบัตรโดยสารจ้า
- ภาพที่ 3 (ด้านซ้ายล่าง) : เป็นเครื่องบิน Boeing 787-9 ที่จะพาเราสู่เมืองอ๊อคแลนด์, ประเทศนิวซีแลนด์ ถ้าเราจำชื่อทะเบียนเครื่องบินไม่ผิด ลำนี้ชื่อว่า "คุณองครักษ์" นะคะ
- ภาพที่ 4 (ด้านขวาล่าง) : เป็นมุมบังคับจากทางเชื่อม (สะพานเชื่อมเครื่องบิน / Jet Bridge) ที่ถ่ายไปแล้วจะเห็นปีกเครื่องบินและเครื่องยนต์พอดี
ปล. มี่แอบสงสัยว่าปกติ Boeing ชอบใช้เครื่องยนต์ของ GE แต่ทำไมรอบนี้ถึงใช้เครื่องยนต์ของ Rolls-Royce เอ่ย มีพี่ๆคนไหนพอจะตอบได้ รบกวนอธิบายให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะ ที่ FB : Askmiemasi เลยค่ะ
ด้วยความที่เป็นแฟนคลับของจักรวาล Marvel (Marvel Cinematic Universe/MCU) และหลงใหลความมีสเน่ห์ของ Cate Blanchett ขั้นสุด จึงตัดสินใจเปิด Thor : Ragnarok บนเครื่องบินซะเลย!! ชอบความเป็น Hela ของป้าเคทมากค่ะ พี่หมี Chris Hemsworth ก็หล่อ แต่ดาเมจไม่รุนแรงแบบป้าเคท อิอิ หลงสำเนียงออสซี่ของป้าเคทมากกก จากนั้นพี่ๆแอร์และพี่สจ๊วตก็แจกเครื่องดื่ม มี่ชอบน้ำแอปเปิลเลยขอน้ำแอปเปิลและถั่วอัลมอนด์ อัลมอนด์อร่อยน้า ขนาดเราไม่ชอบกินพวกถั่วยังคิดว่ามันอร่อยเลย
หลังจากเครื่องขึ้นไปประมาณ 1 ชม.ครึ่งถึง 2 ชม. พี่ๆแอร์และพี่ๆสจ๊วตก็แจกข้าวเย็นให้เราได้ทานกัน เย้! มีให้เลือก 2 ตัวเลือกค่ะ เป็น ข้าวพะแนง (จำไม่ได้ว่าเป็นหมูหรือไก่) กับ สตูว์ไก่อบพร้อมมันฝรั่ง เสิร์ฟพร้อมยำถั่วพลู, ขนมปังพร้อมเนยหรือสเปรดเห็ดชีส, ชีสเค้กและน้ำแร่ออร่า (ขวดเล็ก)
ตัวมี่เลือกข้าวพะแนง เพราะว่าเดี๋ยวไปนิวซีแลนด์ก็จะเจอแต่อาหารแบบสตูว์ไก่ เลยกินข้าวให้หายคิดถึงก่อน บวกกับหิวด้วย เลยเลือกข้าวมากิน รสชาติโดยรวมเราว่า "อร่อย" เป็นข้าวหอมมะลิ พะแนงไม่เผ็ดเลยออกหวานๆหอมๆเครื่องแกงมากกว่า รสชาติออกแนวฝรั่งอ่ะ หาความเผ็ดไม่เจอเลย, ยำถั่วพลู เรากินหมดอ่ะ รสชาติธรรมดา, ชีสเค้กสอยหมด จะเหลือหร๊อ, ขนมปังกินกับเนย เกลี้ยง
ส่วนของน้องนุ่นเลือกเป็นสตูว์ไก่อบ เพราะนุ่นไม่ค่อยชอบกินของเผ็ด สรุปคือนุ่นกินไก่หมด ส่วนผักเหลือ, ยำถั่วพลูกินไปนิดหน่อย, ชีสเค้กหมด, ขนมปังเกือบหมด
สำหรับคนที่บอกว่า "อาหารการบินไทยไม่อร่อย" อันนี้เราไม่แสดงความคิดเห็นใดๆที่เปรียบเทียบกับสายการบินอื่นทั้งสิ้น เพราะว่า ตั้งแต่เกิดมาเคยขึ้นอยู่แค่ 3 สายการบินคือ การบินไทย (ขึ้นมาตลอดชีวิต ไม่ว่าบินไปประเทศไหนก็นั่งแต่การบินไทย), Asiana 1 ครั้ง (เฉพาะขากลับไทย เคยกินบิบิมบับแล้ว... ไม่เอาล่ะ ลาก่อย), Nok Air บินในประเทศ (มี Snack Box ก็เอาลงมาจากเครื่องให้คนอื่น) เราบอกได้แค่ว่า ... เรานั่งการบินไทยมาเกือบตลอด เราไม่เคยรู้สึกไม่ชอบอาหารของการบินไทยเลยนะ เราว่ามันอร่อยอ่ะ ซีฟู้ดก็เคยกินแล้วมีคนบอกว่ามันเลี่ยน/ไม่อร่อย เราว่ามันก็อร่อยอ่ะ เติมพริกไทยหน่อยก็กินได้แล้ว
ปล. ขอร้องล่ะ บินทางไกลอย่าสั่งหรือ request อะไรพิสดารนะ หิวขึ้นมาไม่รู้นะจ๊ะ เช่น อาหารพิเศษของศาสนาต่างๆ (ถ้าไม่ได้นับถือศาสนานั้นๆอย่าสั่งจ้า เห็นมาเยอะที่อยากลองพอมาจริงๆก็กินไม่ได้) ถ้ากินไม่ได้ขึ้นมา อย่าไปขอเปลี่ยนกับพี่ๆแอร์หรือสจ๊วตนะ เราสงสารพี่ๆเขาอ่ะ.... ตัวเองเลือกมาเองก็รับกรรมตัวเองไปด้วย อย่าทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนจ้า ทางที่ดีรออาหารปกติอ่ะดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าอยากลองซีฟู้ดเราก็ไม่ห้ามนะ คือถ้าใครกินแล้วชอบก็จะชอบไปเลยแต่ถ้าใครไม่ชอบจะบอกว่ามันห่วยแตกมากๆ
หลังจากดูหนังไปหลายเรื่อง ในที่สุดมี่ก็น็อคและได้นอนไปประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าๆ เป็นการนอนที่เมื่อยมาก ตื่นขึ้นมาสักพักนึงพี่เขาก็เสิร์ฟอาหารเช้าพอดี อาหารเช้าจะไม่มีตัวเลือก นะคะ (จะเป็นแบบภาพด้านบนสุด) มีไข่ออมเล็ตกับเห็ด, ไส้กรอกไก่, มันฝรั่งหั่นเต๋าอบ, มะเขือเทศย่าง, โยเกิร์ตธรรมชาติ, น้ำผลไม้รวม, สลัดผลไม้ และครัวซองต์พร้อมเนยหรือแยมสตรอว์เบอร์รี
จากนั้นก็ดูหนังต่อประมาณ 1 ชม.กว่าๆ (เราดูเรื่อง Mr. Hurt มือวางอันดับเจ็บ) ก็ได้เวลา Landing แล้วจ้า ตอนที่แลนด์เหมือนที่นิวฯฝนกำลังตกปรอยๆ ฟ้าหม่นๆ
มุมบังคับหลังจากลงจากเครื่องบิน สวัสดีนิวซีแลนด์ 🇳🇿 ขอบคุณการบินไทยมากๆนะคะ 🛫รีวิวการบินไทยจากมี่🇹🇭: - ที่นั่งและเครื่องบิน 💺 : ตัวที่นั่งค่อนข้างสบายและจอ PTV กับหนังก็นับว่าดีมาก มีหลายเรื่องให้ดู หนังก็จะมีเปลี่ยนในทุกๆเดือนด้วย เพราะตอนมากับกลับหนังบางเรื่องจะถูกเพิ่มเข้ามาใหม่ สามารถชาร์จแบตกับจอ PTV ได้ แนะนำให้เอาสายแท้ขึ้นเครื่องไป เพื่อป้องกันปัญหาด้านความปลอดภัย ส่วน Leg room ก็นับว่าไม่ได้กว้างมากแต่ก็ไม่ได้แคบจนอึดอัด - อาหารบนเครื่องบิน 🍱 : มื้อแรกตอนเย็นมันมีเสิร์ฟเป็น"ข้าวพะแนงไก่" เราเลือกอันนี้ กับ "เนื้อไก่อบพร้อมสตูผัก" นุ่นเลือกอันนั้น เราว่าข้าวหอมมะลิคือนุ่นอร่อยเลย ส่วนกับข้าวที่เป็นพะแนง ตัวพะแนงเราว่ามันเลี่ยนไปหน่อยนึงมันไม่ค่อยเผ็ดอ่ะ แต่ก็กินได้ เพราะหิว 555 อาหารเช้าก็เป็นไข่ออมเล็ตธรรมดา,มันฝรั่งกึ่งทอด,ไส้กรอกไก่,มะเขือเทศย่าง,ครัวซองต์พร้อมเนยและแยมสตรอว์เบอร์รี่,สลัดผลไม้,โยเกิร์ตธรรมชาติและน้ำผลไม้รวมเอื้องหลวง ไม่มีตัวเลือก มันก็ออกแนวเฉยๆอีกอ่ะ กินได้แต่ไม่อิ่ม - การบินการของพี่ๆแอร์และสจ๊วต👮♂️👮♀️: พี่ๆบริการดีมากๆ น่ารักแล้วก็ไหว้สวยในความคิดของเรานะ จริงๆอายุต่ำกว่า 18 ปีเดินทางคนเดียวต้องเลือก unaccompanied minors หรือ UM ด้วย แต่ว่าเอเจนซี่เราบอกว่ามันไม่เป็นไร ก็เลยไม่ได้เลือกเพิ่มมา ฝั่ง Thai Airways ในประเทศเราก็ปล่อยเราเดินทางมาได้ไม่มีปัญหา ตัวเราเองซื้อตั๋วการบินไทยไปกลับมาในราคา 34,700 บาทจ้า ที่เลือกเพราะว่ามันไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องบิน (ป้ากลัวเราหลง)
พอออกมาจากเครื่องบินเราก็เดินต่อเพื่อที่จะไปด่านตรวจคนเข้าเมือง (Immigration) ของสนามบินนานาชาติอ๊อคแลนด์ถือว่าค่อนข้างไกล (ไกลกว่าของอังกฤษ) แต่ที่เราชอบมากๆคือสนามบินที่นี่ตกแต่งทันสมัยมาก พื้นปูด้วยพรม ออกแบบมาแล้วจะดูปลอดโปร่ง
- ภาพแรก (ด้านล่างซ้าย) : คือ ตอนที่เราต้องเดินเพื่อผ่านตม. เราแนะนำให้เปิดหน้าวีซ่าประเทศนิวซีแลนด์ไว้เลย (แต่ตอนนี้ใช้แบบ Online แล้ว ปริ้นท์ใบรายละเอียด Online Visa ออกมาจากคอมก็ดี เจ้าหน้าที่จะได้คีย์ข้อมูลง่ายๆ) เพราะตอนที่นุ่นไปด้วย นุ่นลืมเปิดหน้าวีซ่า โดนเจ้าหน้าที่ไล่ไปต่อแถวใหม่ แล้วเราออกมาก่อนต้องรอนุ่นอีกเกือบครึ่งชั่วโมง
- ภาพที่ 2 (ด้านล่างขวา) : ตอนที่เรายืนรอนุ่นหลังจากผ่านตม. ออกมาก่อน
- ภาพด้านบนสุด : หลังจากตรวจคนเข้าเมืองแล้วยังไม่จบจ้า ขาออกเราต้องเอากระเป๋าเดินทางและ Carry on ทุกใบไปผ่านเครื่อง x-ray และติ๊กของต้องสำแดง ถ้าเป็นมาม่าก็ต้องติ๊กว่ามีด้วยนะ ถ้าไม่มั่นใจเดินไปถามเจ้าหน้าที่ก่อนก็ได้ว่า ..(ควรอธิบายให้หมดว่าเอาอะไรมาบ้าง เช่น instant noodles).. ต้องติ๊กอะไร แล้วเขาจะอธิบายให้ฟังว่าติ๊กอันไหนบ้าง แล้วก็จะมีน้องหมาบีเกิลคอยไล่ดมกระเป๋าด้วยจ้า
พอออกมาจากที่ x-ray กระเป๋า พวกเราก็จะเจอพี่คนขับรถที่ถือป้ายชื่อของเรากับน้องนุ่นและมีชื่อ NZLC ต่อท้ายข้างหลัง เราก็เลยรีบพุ่งไปหาพี่เขาหลังจากที่เลทไปมากๆแล้ว พอออกมาข้างนอกก็พบว่าฝนที่ดูปรอยๆความจริงมันก็หนักแล้วนะ แล้วก็รีบไปที่รถ
ปล. คิดว่าเสียเงินค่า airport transfer ตอนที่เขามารับเราคนละ 90 NZD (เกือบ 2,000 บาท) แล้วนึกว่าในรถจะมีแค่เรากับน้องนุ่นใช่ปะ? คิดผิดมหันต์เลยเจ้ามี่เอ้ย... มีเด็กจากโรงเรียนอื่นนั่งมาด้วย (ถ้าจำไม่ผิดคือ Dominion English School) ซึ่งในป้ายมันมีแค่ชื่อเรากับชื่อนุ่นอ่ะ ตอนนั้นก็งงมากว่าพวกนางมาจากไหน?!? พวกนางนั่งไฟล์ทเดียวกับพวกเราแหละแต่ว่าพวกนางรอเราออกมาจาก Immigration ไง
มาพูดถึงขากลับไทยเลยแล้วกันนะ
เอาภาพนี้มาให้ดูก่อนละกันเนอะ ภาพมันอาจจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่เพราะว่าเราซูมสุดๆเลยอ่ะ อิอิ
ขากลับไทย มีรถมารับเราที่บ้านตอน 10.00 น. เพื่อไปที่สนามบินนานาชาติอ๊อคแลนด์ (เขาจะมารับเราก่อนเวลาเครื่องออก 3 ชั่วโมงจ้า เตรียมตัวเก็บของและล็อคกระเป๋าเอาไว้ได้เลย) ระหว่างนั่งรถไปเราก็ได้เห็น Sky Tower เป็นครั้งสุดท้ายก่อนกลับไทย :( มันเศร้ามากๆเลยแหละ
- ภาพแรก (ซ้ายบน) กับภาพที่ 2 (ขวาบน) : คือทางเข้าและป้ายของสนามบิน AKL
- ภาพที่ 3 (ซ้ายล่าง) : ทางเข้าเพื่อผ่านเข้าตามตึกแต่ละ Terminal
- ภาพที่ 4 (ขวาล่าง) : เป็นเทคโนโลยีที่เจ๋งมากๆของสายการบิน Air New Zealand เป็นที่เอากระเป๋าไปโหลดเองจ้า (เราจำได้เพราะเคยเห็นเครื่องแบบนี้ของ Lufthansa ในประเทศเยอรมันนี แต่เราไม่เคยไปเยอรมันนี เราเห็นภาพนี้จากใน Instagram) และเราได้เห็นของจริงของ Air NZ เนี่ยแหละ
Sky Tower มุมนี้ก็ดูสวยเหมือนกันนะ มีสนามหญ้าด้วย คิดถึง Sky Tower จังเลย
เมื่อเรามาถึงที่สนามบิน.. เราแอบรู้สึกใจหายเหมือนกันว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก ลุงแกยกกระเป๋าให้แล้วก็พาไปเช็คอินที่สนามบิน แต่มีปัญหานิดหน่อยตรงที่เราอายุต่ำกว่า 18 ปีแต่ไม่เลือก Unaccompanied Minor (เรียกสั้นๆว่า UM) ที่เป็นบริการให้พี่ๆแอร์ดูแลเราตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องจนตอนที่มีคนมารับ เพราะเอเจนซี่ของเราบอกว่าไม่จำเป็น (ตอนเราบินมาจากที่ไทยภาคพื้นเขาปล่อยเราบินมาที่นิวได้) ภาคพื้นที่นิวเขาเลยงงๆมั้ง เลยถามเรา เราก็อธิบายให้เขาฟังไปแล้ว ลุงก็ช่วยอธิบายเสริมให้เราด้วย ขอบคุณมากๆนะคะที่ช่วยมี่ 🙂 พอเช็คอินเสร็จก็ได้เวลาเข้าไปในเกทแล้ว
เข้ามาถึงข้างในแล้วอันดับแรกเราต้องเอากระเป๋าที่หิ้วขึ้นเครื่อง, ถอดรองเท้าและเสื้อกันหนาวให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจของเราก่อน แล้วไปตรวจร่างกาย จากนั้นค่อยหยิบของและรองเท้า
ตรวจของเสร็จ เราก็ไปที่ Duty Free กัน น้องนุ่นกับเราก็ไปกันที่ Dior เพื่อซื้อน้ำหอมให้แม่... ส่วนเราก็ได้ลิป Dior มาแท่งนึง อิอิ แล้วก็หาที่นั่งที่ Burger King ความจริงคือเราพยายามหา Starbucks แล้วแต่หายังไงก็ไม่พบ เห้อ เลยสั่งเบอร์เกอร์กินชุดนึง
ในชุดจะมีเบอร์เกอร์ไก่, เฟรนช์ฟรายส์, น้ำแก้วใหญ่ 1 แก้วไซส์ 22 ออนซ์ (รีฟิล) สนนราคาไป 12.90 NZD (ถ้าจำไม่ผิดนะ แต่ไม่เกิน 13 NZD แน่นอนจ้า)
ก่อนเวลา Boarding 5 นาทีเราก็เดินไปที่เกทกัน เพราะว่าเกทที่นี่ค่อนข้างเล็กแล้วเป็นเกทแบบติดๆกัน ทำให้ที่นั่งมีจำนวนน้อยกว่าของที่ไทย ได้เวลาบินกลับบ้านแล้วนะ แต่ไม่ดีใจเลยอ่ะ
หลังจาก take off ไปสักพักนึง พี่ๆแอร์กับพี่สจ๊วตจะเดินแจกขนมกรุบกรอบ (คล้ายๆเลย์) จากนั้นเราก็ขอน้ำแอปเปิลเหมือนเดิมแล้วก็เปิดหนังเรื่อง I, Tonya ดู อย่างที่บอกถ้าใครเคยอ่านบล็อกรีวิว Adcote ของเราจะรู้ว่าเราเล่นไอซ์สเก็ตด้วย เราเลยดูเรื่องนี้เพราะมันเกี่ยวกับ Tonya Harding แล้วยังได้นักแสดงอย่าง Margot Robbie กับ Sebastian Stan มาเล่นด้วย (เราชอบเซบเหมือนกันนะ หล่อดี 555) ส่วน Conjuring 2 อย่าถามว่าดูจบมั้ย ดูไม่จบสะดุ้งตั้งแต่ฉากที่มีผู้ชายแก่ๆมาหาเด็กผมสั้นแล้ว เลยปิดทิ้งแล้วก็ไม่เอาแล้วลาก่อน จากนั้นก็ได้อาหารมื้อแรกเป็นพาสต้าซอสครีมกับปลา (เหมือนปลากระพง) เราก็กินไปที่นี่ทำไม่เลี่ยนนะ แต่ให้มาน้อยมากกิน 3 คำก็หมดแล้ว 🙄 มีเหมือนยำวุ้นเส้นใส่แครอทกับลูกเกด แต่เราไม่กินลูกเกดเลยเขี่ยออก รสชาติเป็นยำวุ้นเส้นที่ออกเปรี้ยวๆหวานหน่อยๆ มีเค้กมะนาวกินไม่หมดเพราะว่ามันเลี่ยนตัวครีมอ่ะ เลยไปกินขนมปังกับเนยสตรอว์เบอร์รี่แทน
ก็หาหนังดูไปเรื่อยๆแหละจำไม่ได้ว่าดูเรื่องอะไรไปบ้าง แต่ก็ดูไปเยอะอยู่ประมาณ 4-5 เรื่อง จนได้อาหารมื้อที่ 2 ก่อนเครื่องลงประมาณ 2 ชม.กว่าๆ เป็นข้าวผัดซอสเสฉวนใส่กุ้ง ข้าวผัดอร่อยมากๆรสชาติออกแนวซอสเปรี้ยวหวานแต่ไม่ได้เปรี้ยวขนาดนั้น เวลากินแนะนำให้คลุกๆให้ทั่วข้าวดีกว่ารสชาติมันจะได้พอดีๆ ผักฮ่องเต้น้อยลวกอร่อยเหมือนกัน ส่วนสลัดผลไม้เราไม่ได้กินและคุกกี้สไตล์กีวี่ก็เก็บกลับบ้านไป
พอเครื่อง landed ที่ไทยเราต้องนั่งรถบัสเพื่อเข้าเกท,ไปที่ตม. และรับกระเป๋า สาเหตุที่ต้องนั่งรถบัสก็เพราะว่าหลุมจอดกับสะพานเทียบมันเต็มพอดี
🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡
Chapter 1 : What was going on with my (Filipino) family in Glenfield district ?
แค่หัวข้อก็คงรู้แล้วเนอะว่า.. "เราจะมาพูดถึงโฮสต์" กัน คือว่าโฮสต์ของมี่อ่ะค่ะ อยู่เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ คือในใบข้อมูลที่เขาแจ้งมาจากทาง NZLC เกี่ยวกับโฮสต์อ่ะ เขาจะส่งมาในอีเมล์ของเอเจนซี่เรา แล้วเอเจนซี่ก็มีหน้าที่ forward mail ต่อมาให้เราได้รับทราบ (ได้ช้าได้เร็วแล้วแต่คน แต่ยังไงมันก็ต้องได้แน่นอนจ้า) บ้านโฮสต์เราตั้งอยู่ในเขต Glenfield ในส่วนของห้องนอนจะมีทั้งหมด 2 ห้องนอนสำหรับเรากับนุ่น คือวันแรกอย่างที่เราบอกไปว่าเรายังกลัวๆอยู่เลยนอนห้องเดียวกับนุ่น เพราะห้องนุ่นมันเป็นห้องใหญ่มีตั้ง 3 เตียง(นุ่นนอนเตียงคู่ แล้วเตียงเดี่ยวอีกเตียงเอาไว้วางกระเป๋าเดินทาง) ส่วนห้องของเราอีกห้องนึงมันเป็นห้องแนวเล็กๆมุ้งมิ้งแต่เราก็ชอบมากนะ มันดูพอดีอ่ะ ไม่เล็กไปไม่ใหญ่ไปด้วย จากบ้านไปโรงเรียน เราจะต้องเดินจากบ้านออกไปจนถึงถนนที่ชื่อว่า Ondine Place แล้วก็เดินขึ้นเนิน (น่องใหญ่กันทีเดียว ล้อเล่นนะ 555) ไปที่ป้ายที่มันติดว่า Ross Reserve เดินไปที่ป้ายรถเมล์ 3875 เพื่อรอรถบัสทุกวัน
มาต่อกันที่ภาพกฎของบ้านโฮสต์เราค่ะ หลายๆคนอาจจะบอกว่าทำไมเยอะจัง ดูโหดๆนะ แต่ป้าเราบอกว่าดีแล้วค่ะ เพราะถือว่าบอกกันไว้ก่อน บอกกันตรงๆแบบนี้แหละ ถือว่ามีประโยชน์ค่ะ
กฎของบ้านโฮสต์เราเองค่ะ เขาแปะไว้ละเอียดมากๆในห้องนอนเรา
ห้องนอนก็ถือว่ามีทุกอย่างครบดีค่ะ ทั้งเตียงนอน, โต๊ะวางของข้างเตียง, โต๊ะทำงาน, ตู้เสื้อผ้า แล้วพื้นก็เป็นพรมค่ะ ไม่มี Heater แบบที่อังกฤษนะคะ กลางคืนจะหนาวมาก ต้องใส่เสื้อกันหนาวด้วยแล้วก็ห่มผ้าห่ม 2 ชั้นค่ะ
ตอนกลางวันที่นี่สว่างมากๆค่ะ หรือผ้าม่านโฮสต์เรามันบางก็ไม่รู้ค่ะ อิอิ
ห้องนอนของเราอีกห้องนึงที่ไว้นอนคนเดียวค่ะ
มาต่อที่มุมวิวทิวทัศน์จากบ้านโฮสต์ค่ะ
เพื่อนเราที่เคยมาเรียนซัมเมอร์ที่นิวฯ บอกเราว่าบ้านที่นี่เวลาส้รางจะคล้ายๆกันค่ะ จะเป็นบ้านชั้นเดียวไม่ก็ 2 ชั้นแล้วเป็นบ้านไม้ มีลานจอดรถ มีรั้วล้อมบ้านแต่ไม่มีประตูปิดหน้าบ้านค่ะ
เราจะมาพูดเรื่องของโฮสต์แฟมิลีต่อละกันเนอะ คือห้องนอนของเรากับนุ่นจะอยู่ที่ชั้น 2 เราก็แปลกใจนิดหน่อยที่บ้านหลังนี้ทำอะไรก็ชั้น 2 หมดอ่ะ 55555 แบบทำกับข้าว,กินข้าว,ดูทีวี,เด็กวิ่งไล่จับกัน,อาบน้ำ คือชั้นนี้หมดเลยจ้า ส่วนพวกซักผ้าจะซักที่ชั้น 1 มีแค่นี้จริงๆ อ้อ แล้วก็เป็นห้องนอนของโฮสต์ย่ากับโฮสต์แด๊ดด้วย จะบอกว่า "คนฟิลิปปินส์ติดละครมากกกก ติดละครชาติเขาเองน่ะ ไม่รู้ว่าสมัครยังไงเหมือนกันนะ แต่แบบเหมือนคนไทยเลยที่ติดละครหลังข่าว คือโฮสต์ย่าเราดูตั้งแต่ตอนเรากลับมาถึงบ้านตอนเย็นถึง 3 ทุ่มกว่าๆ ดูเป็นเรื่องเป็นราวกันมากจริงๆ เอาตามตรงเราไม่ค่อยชอบภาษาตากาล็อกอ่ะ ภาษาเขามันดูตลกมาก แล้วเวลามัมกับย่าคุยกันเรานึกว่าเขาทะเลาะกัน 555
แวะมาขยายความเพิ่มเรื่องของ Host Family
อย่างที่เราบอกไปว่าเราจะทำอาหารกินเองตอนที่เรากินอาหารฟิลิปปินโน่ไม่ได้ ซึ่งส่วนมากเราก็กินได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะรสชาติอาหารบ้านเขาคือสู้อาหารไทยไม่ได้จริงๆ .. เราเองน่ะ พกมาม่าจากไทยไปทั้งหมด 8 ห่อ เป็นมาม่าเกาหลีซัมยัง 2, นิสชินไก่เกาหลี 1, นิสชินหมูสับ 1, นิสชินฮอตแอนด์สไปซี่ 2, นิสชินทงคตสึ 2 แต่เรากินจริงๆกินมาม่าเกาหลี 2, ทงคตสึ 2 และฮอต 1 เท่ากับว่าเราเหลือกลับไทย 3 ห่อ
แล้วตอนที่เรามาที่นี่ โฮสต์มัมเห็นเรากินอาหารเขาไม่ได้ตั้งแต่วันที่ 2 ที่มันเป็นไก่ตุ๋นพริกเผาแล้วก็มีซอสของอะโดโบเมื่อวานแรกมาด้วย มันหยึ๋ยมาก คือแบบกินข้าวไม่ลงเลย เขาเลยให้เรย์ (น้องสาวของมัม) ขับรถพาไปที่ pak n'save เพื่อซื้อพวกของที่คิดว่าตัวเองกินได้ เราเลยซื้อพาสต้าแบบห่อละ 500 G มา 4 ห่อ, พาสต้าซอส Bolognese 3 กระปุก, พาสต้าสำเร็จรูป 3 ห่อ (ห่อแบบกินได้ถุงละจานนะ), แฮมต่างๆ 300 G (แต่จริงๆเรากินห่อ 100 G หมดไปแค่อันเดียวเอง) เราเสียเงินไปทั้งหมด 30 NZD ได้อ่ะ ซึ่งส่วนนี้เขาก็ได้บอกเราตั้งแต่แรกแล้วว่า เขาจะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ เราต้องจ่ายเอง แต่ที่เราไปฟ้องทางเอเจนซี่ แล้วเอเจนท์เราส่งเมล์หาโรงเรียน เพราะว่า เขาเห็นเราชอบกิน Milo Cereal เป็นอาหารเช้า แต่เขาไม่เคยซื้อซีเรียลมาเพิ่มให้เราเลยตอนที่มันหมด ไม่เคยถามเราด้วยว่าจะให้ซื้อให้มั้ย ซึ่งส่วนนี้มันควรจะเป็นหน้าที่ของเขา เพราะว่าตอนเราไปอังกฤษ มัมมีซีเรียลให้เลือกไม่เคยต่ำกว่า 5 แบบเลย ซึ่งที่นี่ให้เรากินแต่ Cherrios ซึ่งเราไม่ค่อยชอบ แต่เอามาผสมกับ Milo อ่ะ เรากินได้แล้วอาหารเย็นในสัปดาห์แรกที่เขามีให้ทำ survey เราก็เลยติ๊กข้อที่เป็น food is nice ว่า strongly disagree แต่ทางโรงเรียนฯก็ยังไม่ได้ทำอะไรในตอนนั้น เขาเพิ่งจะมาเรียกเราไปคุยก็ตอนที่เอเจนซี่เราเขียนเมล์ฟ้องโรงเรียนเรื่องอาหารที่เขาให้เราออกเงินรับผิดชอบค่า Cereal กับพาสต้าเอง สิ่งเดียวที่คิดถึงในบ้านหลังนั้นก็คือ... ห้องนอนที่เรานอนคนเดียว
แล้วเหมือนว่าตอนสุดท้ายมัมก็มาคุยกับเราว่าเขาจะพยายามปรับปรุงอาหารให้เรากินได้มากที่สุด บลาๆๆ ซึ่งจริงๆมัมทำอาหารได้ดีกว่าโฮสต์ย่ามาก แต่หน้าที่นี้มันเป็นของโฮสต์ย่า แล้วเวลาที่เราจะใช้ครัว สีหน้าโฮสต์ย่าออกแบบชัดเจนมากว่าไม่อยากให้เราใช้ครัวเขา พอใช้เสร็จเราก็ล้างจานล้างหม้อให้เขาไปด้วยเลย ซึ่งหลังจากวีคแรกอาหารมันก็ดีขึ้นจริงๆ ก็มีทั้งพอกินได้และไม่ถูกปาก เราก็ต้องแก้ปัญหาที่ตัวเราเอง
ตอนกลับ วันนั้นเปิดตู้เย็นยังเหลือแฮมซองที่มี 200 G แต่เรากินไปแล้วเหลือประมาณ 100 G เหลืออยู่, พาสต้าอีก 1 ซอง (จริงๆต้อง 2 แต่วันนั้นมัมฉีกพาสต้าเราไปเพราะมันไม่พอ แล้วเขาเพิ่งมาเห็นชื่อเราทีหลัง แล้ววันนั้นก็เป็นวีคเกือบสุดท้ายแล้ว เราก็เลยไม่ได้ถืออะไร), ซอสพาสต้า 1 กระปุกครึ่งและน้ำโมกุโมกุ 1 ขวด เราก็เลยแบบเออ ไม่เอากลับก็ได้วะ ก็ทิ้งมันไว้ที่นั่นเลย พอกลับมาก็คุยกับป้า ป้าก็บอกมาว่าแบบ "เรานี่ก็ใจดีเหมือนกันนะ มีทิ้งของให้เขาด้วย" เราเลยตอบว่า "โห เหลือแค่นั้นคงไม่เอากลับมาให้รกกระเป๋าหรอก แตกใส่กระเป๋ามาไม่คุ้ม (ซอส) แล้วถ้าเป็นกู๊ (แทนป้าเรา) กู๊จะทำยังไงหรอ" ป้าบอกว่า "ให้ทำยังไงรู้มั้ย? ให้โยนทิ้งใส่ถังขยะ" เพราะว่าโฮสต์เราขี้เหนียวมาก งกมากด้วย แล้วดูแลเด็กก็ไม่ค่อยดี ซักผ้าช้าบ่อยมากตั้งแต่เราอยู่มา ดูไม่ค่อยมีความรับผิดชอบอ่ะ ป้าเราเลยอยากให้เราแก้เผ็ดแบบนั้น แต่เราไม่ได้ติดใจอะไรมากขนาดนั้น.. ถ้าย้อนเวลาไปทำได้ก็อยากทำนะ อิอิ
ถือว่าเขียนไปขนาดนี้แล้วเนอะ จริงๆเขาก็ไม่ได้แย่มากอะไรเบอร์นั้นหรอก แต่โฮสต์ย่าแค่ไม่ค่อยดี โฮสต์มัมดีที่สุดในบ้านแล้ว
หน้าที่ของโฮสต์แฟมิลีมีอะไรบ้างหล่ะ?
- ต้องให้อาหารเช้าเรา จะเป็นซีเรียลหรือขนมปังก็ได้แต่ว่ายังไงก็ต้องมี และทำอาหารเย็นให้เรากิน
✔️ คือโฮสต์บ้านเรามีปัญหานิดนึงคือวันแรกที่เรามาถึง อาหารเย็นบ้านนี้เป็นหมูอะโดโบ้จ้า.. โอ้ คุณพระคุณเจ้า มันเป็นหมูเปรี้ยวๆอ่ะ มันหมูเยอะๆ แล้วเปรี้ยว+เค็ม+หวานนิดๆ เรากินแล้วจะอ้วก เกิดอาการ Foodsick ทันที โฮสต์ย่าเลยทอดไข่เจียวให้ เป็นไข่เจียวที่มีของแถมเป็นน้ำมันที่ท่วมจาน.. เห็นแบบนั้นเราแทบคลั่งเลยจ้า ทำนองแบบว๊อทเด่อฟ๊าคคคคค จากนั้นมัมเลยให้น้องสาวเขาที่ชื่อว่า "เรย์" พาไปที่ pak n'save (เป็น supermarket ของนิวซีแลนด์ ฟีลคล้ายๆ Makro ถ้าอยากได้ของถูกต้องมาที่นี่ Teacher เราบอกว่าถ้าให้เรียงความถูกอ่ะ 1. pak n'save 2. countdown 3. new world) แล้วเราก็เห็น Milo Cereal กับนุ่นไงเลยสอยกันมา 3 กล่อง พอวันรุ่งขึ้นอ่ะเขาเห็นว่าพวกเราถือซีเรียลออกมาแล้ว เลยไม่เอาซีเรียลของเขามาให้เรากินด้วย (มันชื่อว่า Cherrios มาจากออสเตรเลีย แนะนำนะ Milo Cereal+Cherrios+ Chocolate supremo milk ของ Tip top คือ the best!!)
แล้วเราก็ซื้อบัตร HOP Card เป็นบัตรโดยสารประจำทางของที่นี่แหละมาด้วย ละแบบหลังจากที่ซีเรียลเราหมด เขาก็ไม่ได้ซื้อเพิ่มให้เรา กลับกลายเป็นว่าเราต้องเสียเงินซื้อซีเรียลเพิ่ม สุดท้ายเราก็เลยบอกทางเอเจนท์เราแล้วเขาก็บอกโรงเรียน มัมคืนเงินมาให้ 10 NZD จ้า... (ค่า Milo Cereal family pack จาก countdown มันประมาณ 8.60 NZD มั้ง)
แล้วอาหารเย็น อาทิตย์แรกคือกินไม่ได้เลย มันมีแต่อาหารฟิลิปิโน่!!! แล้วรสชาติมันแบบ... เอิ่ม... นั่นแหละ ต้องลองเองจะได้รู้ แล้วทาง NZLC มันมีให้ทำแบบทดสอบ survey อะไรงี้อ่ะ เราติ๊กเรื่อง "food is nice" เป็น strongly disagree ไปเลยจ้า กินไม่ได้จริงๆ แล้วหลังจากวันนั้นที่มัมเห็นเรากินไม่ค่อยได้ เขาเลยเสนอให้ไปที่ pak n'save ไปซื้อพาสต้ามาทำตอนที่กินอาหารของเขาไม่ได้ (ออกเงินเองนะ เขาไม่ออกให้) เราสอยพาสต้ามา 4 ถุง ซอสพาสต้าอีก 3 กระปุก พาสต้าสำเร็จรูปอีก 3 ห่อ นมช็อคโกแลตไว้กินกับซีเรียล เราเสียเงินรอบนั้นไป 30 NZD ได้เลยอ่ะ แต่ทำไงได้ ถ้าไม่ทำอาหารกินเองเราก็ไม่มีอะไรกินแล้ว ก็ต้องจำใจจ่าย จำใจกินเข้าไป
- ซักเสื้อผ้าให้เรา อาทิตย์ละครั้ง
✔️ โฮสต์เราไม่ค่อยสนใจเรื่องเสื้อผ้าเราเท่าที่ควรจะเป็นนะ เราจะเปรียบเทียบกับการไปที่อังกฤษ ตอนอยู่ที่นั่นอ่ะคืออยากให้ซักก็แค่เอาลงมา วางไว้ในตระกร้าในห้องน้ำข้างล่าง แล้วเขาก็จะทยอยซักเสื้อผ้าให้ ในขณะที่ที่นี่คือให้เราใส่เสื้อผ้าไว้ในตระกร้าแล้ววันเสาร์เช้าจะเอาไปซักให้ แต่พอซักให้ เดี๋ยวเสื้อทับ เสื้อโน้น เสื้อนี้ก็หายอีก บางทีลืมซักไปซักวันอาทิตย์แทน บางทีไปเที่ยวแล้วลืมซักบอกไม่มีเวลาแล้ว เหนื่อย เดี๋ยวซักให้พรุ่งนี้ (ไอ้คนไม่มีเสื้อผ้าก็ใส่ซ้ำไปเหอะ ใส่วนไปเรื่อยๆสิ)
- ให้ที่พักและทำความสะอาดให้กับเรา
✔️ โฮสต์เราให้ที่พักจริง ให้ห้องนอนเรานอนจริง ให้บ้านเรานั่งเล่น ให้อยู่ให้นอน ให้ใช้ห้องน้ำก็จริง แต่เขาไม่เคยเข้ามาทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูห้องเราเลย อยู่ยังไงก็อยู่อย่างงั้น ถังขยะในห้องไม่เคยเปลี่ยนให้เลยต้องทำเองเปลี่ยนเองหมด หาถุงเอง เก็บกวาดอะไรเองหมด แต่ไม่เป็นไรอ่ะเราโอเค เพราะอยู่ไทยไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ป้าเราบอกว่าดีแล้ว จะได้รู้จักทำอะไรด้วยตัวเองซะมั่ง
- การอาบน้ำ (ไม่แนะนำให้อาบเกิน 5 นาที เพราะโฮสต์บอกว่ามันเปลืองน้ำ)
✔️ คืออันนี้อ่ะ ตอนที่เราอยู่บ้านเขาอ่ะ เรามีสิทธิ์อาบน้ำได้วันละครั้งเท่านั้น ครั้งละไม่ควรเกิน 5-10 นาที แต่กฎของบ้านโฮสต์เราคือ 5 นาทีเท่านั้น เราเคยอาบเกินมามั้ง อาบเกิน 3 นาที หมายถึงว่า.. อาบน้ำไป 8 นาที พอออกมาจากห้องน้ำเท่านั้นแหละโฮสต์บ่นเต็มที่จ้าาาาา (หูชา) แบบ "ทำไมไม่รีบอาบน้ำ, เนี่ย รู้มั้ยอาบน้ำนานค่าน้ำแพง ถ้าเป็นบ้านอื่นนะ.., เนี่ย!! ลูกฉันต้องใช้ห้องน้ำแปลกฟันนะ หลังจากนั้นเราเลยแบบอาบน้ำเปิดเพลงฟังไป มันจะได้เป็นสัญญาณเตือนว่าแบบอาบน้ำไปกี่นาทีแล้ว
สำหรับโฮสต์แฟมิลีอ่ะ มันแล้วแต่ดวงด้วยว่าจะได้โฮสต์แบบไหน แต่คือ Teacher เราบอกประมาณว่า "ถ้าคุณคิดว่าฟิลิปปินส์แย่แล้ว.. พวกกีวีแย่กว่าอีก!!" ที่เอเจนซี่ชอบให้เด็กไปอยู่กับ Homestay เพราะว่าเวลาที่ไปใหม่ๆอ่ะ ภาษามันยังไม่แข็งแรงมาก จะได้ไม่รู้สึกกลัวการพูดภาษาอังกฤษ แล้ว Homestay คือทางโรงเรียนรับรองไว้ให้ด้วย แล้วพอภาษาอังกฤษพอได้ก็ค่อยออกไปหาที่อยู่เองก็ได้ วิธีที่แนะนำหากมาอยู่เป็นระยะเวลานานๆก็คือ "ลง Homestay มา 4 วีค แล้วถ้าอยากย้ายออกหลังจากนั้นก็ค่อยหาห้องมาแชร์กับเพื่อน แต่ถ้าเปลี่ยนใจอยากอยู่ต่อกับโฮสต์แฟมิลีต้องบอกทาง NZLC ล่วงหน้าว่าจะไม่ย้ายออกแล้ว จะอยู่กับโฮสต์แฟมิลีต่อไป" อะไรทำนองนี้แหละ ข้อดีและข้อเสียของ Homestay เรามาเริ่มกันที่ข้อดีก่อนละกันเนอะ : - ได้ฝึกภาษาอังกฤษ ทำให้การสื่อสารดีขึ้นได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว (ถ้าขยันขวนขวายความรู้) - ได้รู้จักกับคนใหม่ๆจากต่างถิ่น และถ้าโชคดีอาจจะเจอคนที่เขาดูแลดีหรือเป็นครอบครัวของเราที่นั่นได้ - ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ที่ต่างกัน เช่น วัฒนธรรมด้านอาหาร - ปลอดภัยแน่นอน 1000% เพราะทางโรงเรียนต้องเป็นคนรับรองความปลอดภัยให้นักเรียนด้วย - สะดวกและง่ายต่อการติดต่อ เพราะว่าเป็น Homestay ของทางโรงเรียนโดยตรง ข้อเสีย จริงๆเราว่ามันไม่ใช่ข้อเสียสำหรับทุกคนอ่ะ อยู่ที่ว่าคนมองยังไงมากกว่า: - ไม่มีอิสระและความเป็นส่วนตัวมากเท่ากับการแชร์ห้อง เพราะว่าจะมีเวลาที่ควรกลับบ้าน (เคอร์ฟิว) เราอยู่บ้านเขาก็ควรรู้จักเกรงใจเขาบ้าง (อย่าคิดว่าจ่ายเงินค่า Homestay แล้วมันจบ ต่อให้มันเป็นอย่างงั้นก็ไม่ควรจะปฏิบัติกับเขาอย่างนั้นอยู่ดี เพราะถ้าคุณเป็นอะไรไปคนซวยคือทางโรงเรียนกับโฮสต์คุณนั่นแหละ เรื่องราวมันใหญ่โตมากเลยนะ) - ได้โฮสต์ดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่ดวง แล้วแต่ว่าทำบุญทำกรรมมากน้อยแค่ไหนนั่นแหละจ้า 555 แต่ที่แน่นอนคือปลอดภัย เพราะกฎหมายของต่างประเทศแรงมากๆ
เราจะมาเริ่มกันที่ภาพอาหารแล้วนะ !!!
จาน Pasta นี่คือเราทำเอง เอาเส้นลวกใส่ซอสมะเขือเทศสำหรับพาสต้าแล้วก็แฮม จบปึ้ง เพราะบางวันกินอาหารฟิลิปปินส์ไม่ได้จริงๆค่ะ แงงงง
ใครบอกว่าอาหารไทยกับฟิลิปปินส์น่าจะเทียบกันได้หรือกินได้ เพราะวัฒนธรรมไม่ต่างกันมาก เป็นประเทศในภูมิภาคอาเซียนเหมือนกัน เป็นเอเชียเหมือนกัน.. บอกเลยว่าคิดผิดมหันต์นะจ๊ะ อาหารฟิลิปปินส์ถ้าคนกินยากแบบเราเจอก็มีอึ้งเหมือนกันค่ะ มันเป็นอาหารที่แทบไม่เจอในไทยเลย แล้วรสชาติหน้าตาอาหารเขามันก็ดูจะแปลกๆสำหรับเราซะด้วย ถ้าเทียบอาหารปินส์กับฝรั่ง เราว่าอาหารฝรั่งกินง่ายกว่าค่ะ เพราะคนไทยส่วนมากเคยกินอยู่แล้ว แบบสเต็ก,พาสต้า,สลัด,พิซซ่า,เนื้ออบ อะไรงี้ แต่ถ้าคนที่เขากินง่ายๆก็อาจจะชอบอาหารปินส์ไปเลย อย่างเรางี้เรากินยากแต่เราชอบแกงเขียวหวานปินส์นะคะ
แบบน้องนุ่นนี่คือกินง่ายมาก คือนุ่นไม่ค่อยหวีดร้องเวลาเห็นอาหารปินส์แบบเราค่ะ ให้อะไรมานางก็กินได้ชิวๆคนเดียว เราเองแอบอิจฉาคนอยู่ง่ายกินง่ายนะคะ ไปไหนก็ไปได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องอาหาร หรือหัวเสียเรื่องอาหารเวลาที่กินไม่ได้ แต่ก็แอบมีบางวันที่นุ่นเองก็หยิบมาม่าหมูสับมากินเหมือนกันนะ
แกงเขียวหวานสไตล์ฟิลิปปินส์
อาหารเย็น "แกงเขียวหวานสไตล์ฟิลิปปินส์" วันนั้นมัมอยู่มัมบอกว่า "ช่วยลองชิมอันนี้หน่อยได้มั้ยถ้ากินได้ก็จะให้กินเลย แต่ถ้ากินไม่ได้ก็ไม่เป็นไร" (มัมเป็นคนที่เข้าใจเรื่องความต่างทางวัฒนธรรมการกินมากค่ะ เขาเคยคุยกับเราว่าเขาเข้าใจนะ แต่อยากให้ชิมอาหารเขาก่อนถ้ากินไม่ได้เขาก็พร้อมเข้าใจ) ส่วนตัวแล้วเราว่ามันอร่อยนะ กลิ่นเหมือนแกงกะหรี่แต่ไม่แรงขนาดนั้นเป็นกลิ่นอ่อนๆ รสชาติเหมือนแกงเขียวหวานสำหรับฝรั่ง (จะออกรสกะทิหน่อยๆ สีเขียวอ่อนๆ ไม่มีรสจัดจ้านแบบของไทย) เราชอบตรงที่ใส่มันฝรั่ง,แครอทและเห็ดเยอะเนี่ยแหละ ไม่ชอบกินไก่อ่ะแต่ก็กินได้นะ ตอนแรกเขาใส่หนังไก่ด้วย แต่ตอนหลังมาเป็น Skinless and Boneless Chicken เราเลยยอมกินไก่ อิอิ
คือพิซซ่าที่เขาทำเอง ตัวแป้งเราว่าเขาซื้อแบบสำเร็จมา แล้วใส่ชีส,แฮม.สัปปะรด ซอสพิซซ่า แป้งจะบางๆหน่อยข้างนอกกรอบ แต่ข้างในนุ่มมาก เห็นแบบนี้เครื่องมันก็เยอะพอสมควร
- ภาพแรก : เป็นมักกะโรนีชีสกินกับไก่ทอดของโฮสต์ มักกะโรนีที่นี่อร่อย เป็นของ Kraft มั้งถ้าจำไม่ผิด เราเลยซื้อกลับไทยมาด้วย ส่วนไก่ทอดก็ถือว่าอร่อยเลยแหละ
- ภาพที่ 2 : เป็นพาสต้าผัดกับแฮม กินกับสติ๊กปลาทอดแล้วก็ซุปครีมเห็ด
- ภาพที่ 3 : เป็นมาม่าเกาหลี (รสไก่เผ็ด ห่อดำของ Samyang) กินกับปลาทอดแล้วมีมันฝรั่งบดอยู่ข้างบน อันนี้นุ่นกินมั่นฝรั่งบดปลาทอดแล้วบ่นว่ามันเปรี้ยวๆเละๆ แปลกดี แต่ไม่ชอบกิน
- ภาพที่ 4 : คือนิสชินรสซุปฮอตแอนด์สไปซี่ เราคิดถึงของเผ็ดมากเลยงัดนิสชินมากินแก้คิดถึงบ้าน
อาหารเช้าที่เราต้องกินทุกวันก็หนีไม่พ้นซีเรียลค่ะ ที่เราจะซื้อมาหลักๆก็คือไมโลซีเรียล,นมช็อคโกแลตยี่ห้อ Primo (ตอนหลังเราซื้อแบบขวดลิตรเลยค่ะ เพราะว่ามันถูกกว่าขวดเล็ก รสชาติเดียวกัน ถ้าใครจะซื้อขวดเล็กเราแนะนำให้ซื้อพวกรสแปลกๆค่ะ แบบรสกล้วย, รส Chocolate Mint, รส Honey Pokey ถึงจะคุ้มค่ะ ส่วนตัวเราเองไม่ชอบกินนมจืด เพราะเราว่ามันเหม็นคาวอะค่ะ) ถ้าวันไหนหิวมากก็จะกินขนมปังนูเทลล่าด้วย แล้วก็ช็อคโกแลต Cadbury ร้อน ถึงกินเยอะขนาดนี้ก็ยังหิวนะ คือจะหิว 1 ชม. ก่อนเวลากินข้าวเที่ยงค่ะ ซีเรียลพวกนี้ไม่ค่อยอยู่ท้อง ไม่เหมือนที่เรากินจานหลักเป็นข้าวกันในไทยนะคะ ส่วนซับเวย์ในภาพ เราซื้อเองค่ะ ซื้อมาจาก SUBWAY ที่ Glenfield Mall
- ภาพแรก : เป็นไข่เจียวผัดมันฝรั่งค่ะ เราว่าอร่อยค่ะ เพราะมัมเป็นคนทำ มั่นฝรั่งจะนุ่มๆ ไข่ไม่น้ำมันท่วม
- ภาพที่ 2 : เป็นสปาเก็ตตี้และพาสต้า+ซอสมะเขือเทศ+Potato Wedges+ไก่อบ
- ภาพที่ 3 : เป็นมาม่าเกาหลีซัมยัง+เบคอนและไส้กรอกทอด+ออมเล็ตมันฝรั่ง มัมเป็นคนทำเช่นกันค่ะ
- ภาพที่ 4 : เป็นนิสชินรสไก่เผ็ดเกาหลีกับเบคอนทอด
(เท่าที่สังเกตมาเวลามัมทำอาหารจะไม่น้ำมันท่วมแบบของโฮสต์ย่าค่ะ เรื่องตลกก็คือก่อนมาแม่เคยเล่าให้เราฟังว่าคนปินอยทำอาหารน้ำมันท่วมมาก เวลาผัดข้าวผัดก็น้ำมันเยอะมากเหมือนให้กินข้าวผัดน้ำมัน แต่เราคิดว่าแม่โม้เราค่ะ ขู่ให้กลัวเฉยๆอะไรทำนองนี้ พอมาเจอจริงๆอยากขอโทษแม่ค่ะ เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ เราอยากแอบถ่ายรูปมาเหมือนกันนะคะ แต่โฮสต์ย่าจะไม่ให้เราเล่นโทรศัพท์ตอนกินข้าว มีครั้งนึงเขาเคยพูดประมาณว่านี่จะกินข้าวหรือเล่นโทรศัพท์? แล้วก็เห็นเราตลอดเลยไม่กล้าถ่าย กลัวเขาหาว่าส่งไปฟ้องพ่อแม่หรือฟ้องโรงเรียนหรือเปล่า)
แวะมาขยายความเพิ่มเรื่องของ Host Family 🏡 อย่างที่เราบอกไปว่าเราจะทำอาหารกินเองตอนที่เรากินอาหารฟิลิปปินโน่ไม่ได้ ซึ่งส่วนมากเราก็กินได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะรสชาติอาหารบ้านเขาคือสู้อาหารไทยไม่ได้จริงๆ .. เราเองน่ะ พกมาม่าจากไทยไปทั้งหมด 8 ห่อ เป็นมาม่าเกาหลีซัมยัง 2, นิสชินไก่เกาหลี 1, นิสชินหมูสับ 1, นิสชินฮอตแอนด์สไปซี่ 2,
นิสชินทงคตสึ 2 แต่เรากินจริงๆกินมาม่าเกาหลี 2, ทงคตสึ 2 และฮอต 1 เท่ากับว่าเราเหลือกลับไทย 3 ห่อ แล้วตอนที่เรามาที่นี่ โฮสต์มัมเห็นเรากินอาหารเขาไม่ได้ตั้งแต่วันที่ 2 ที่มันเป็นไก่ตุ๋นพริกเผาแล้วก็มีซอสของอะโดโบเมื่อวานแรกมาด้วย มันหยึ๋ยมาก คือแบบกินข้าวไม่ลงเลย เขาเลยให้เรย์ (น้องสาวของมัม) ขับรถพาไปที่ pak n'save เพื่อซื้อพวกของที่คิดว่าตัวเองกินได้ เราเลยซื้อพาสต้าแบบห่อละ 500 G มา 4 ห่อ, พาสต้าซอส Bolognese 3 กระปุก, พาสต้าสำเร็จรูป 3 ห่อ (ห่อแบบกินได้ถุงละจานนะ), แฮมต่างๆ 300 G (แต่จริงๆเรากินห่อ 100 G หมดไปแค่อันเดียวเอง) เราเสียเงินไปทั้งหมด 30 NZD ได้อ่ะ ซึ่งส่วนนี้เขาก็ได้บอกเราตั้งแต่แรกแล้วว่า เขาจะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ เราต้องจ่ายเอง แต่ที่เราไปฟ้องทางเอเจนซี่ แล้วเอเจนท์เราส่งเมล์หาโรงเรียน เพราะว่า เขาเห็นเราชอบกิน Milo Cereal เป็นอาหารเช้า แต่เขาไม่เคยซื้อซีเรียลมาเพิ่มให้เราเลยตอนที่มันหมด ไม่เคยถามเราด้วยว่าจะให้ซื้อให้มั้ย ซึ่งส่วนนี้มันควรจะเป็นหน้าที่ของเขา เพราะว่าตอนเราไปอังกฤษ มัมมีซีเรียลให้เลือกไม่เคยต่ำกว่า 5 แบบเลย ซึ่งที่นี่ให้เรากินแต่ Cherrios ซึ่งเราไม่ค่อยชอบ แต่เอามาผสมกับ Milo อ่ะ เรากินได้แล้วอาหารเย็นในสัปดาห์แรกที่เขามีให้ทำ survey เราก็เลยติ๊กข้อที่เป็น food is nice ว่า strongly disagree แต่ทางโรงเรียนฯก็ยังไม่ได้ทำอะไรในตอนนั้น เขาเพิ่งจะมาเรียกเราไปคุยก็ตอนที่เอเจนซี่เราเขียนเมล์ฟ้องโรงเรียนเรื่องอาหารที่เขาให้เราออกเงินรับผิดชอบค่า Cereal กับพาสต้าเอง แล้วเหมือนว่าตอนสุดท้ายมัมก็มาคุยกับเราว่าเขาจะพยายามปรับปรุงอาหารให้เรากินได้มากที่สุด บลาๆๆ ซึ่งจริงๆมัมทำอาหารได้ดีกว่าโฮสต์ย่ามาก แต่หน้าที่นี้มันเป็นของโฮสต์ย่า แล้วเวลาที่เราจะใช้ครัว สีหน้าโฮสต์ย่าออกแบบชัดเจนมากว่าไม่อยากให้เราใช้ครัวเขา พอใช้เสร็จเราก็ล้างจานล้างหม้อให้เขาไปด้วยเลย ซึ่งหลังจากวีคแรกอาหารมันก็ดีขึ้นจริงๆ ก็มีทั้งพอกินได้และไม่ถูกปาก เราก็ต้องแก้ปัญหาที่ตัวเราเอง ตอนกลับ วันนั้นเปิดตู้เย็นยังเหลือแฮมซองที่มี 200 G แต่เรากินไปแล้วเหลือประมาณ 100 G เหลืออยู่, พาสต้าอีก 1 ซอง (จริงๆต้อง 2 แต่วันนั้นมัมฉีกพาสต้าเราไปเพราะมันไม่พอ แล้วเขาเพิ่งมาเห็นชื่อเราทีหลัง แล้ววันนั้นก็เป็นวีคเกือบสุดท้ายแล้ว เราก็เลยไม่ได้ถืออะไร), ซอสพาสต้า 1 กระปุกครึ่งและน้ำโมกุโมกุ 1 ขวด เราก็เลยแบบเออ ไม่เอากลับก็ได้วะ ก็ทิ้งมันไว้ที่นั่นเลย พอกลับมาก็คุยกับป้า ป้าก็บอกมาว่าแบบ "เรานี่ก็ใจดีเหมือนกันนะ มีทิ้งของให้เขาด้วย" เราเลยตอบว่า "โห เหลือแค่นั้นคงไม่เอากลับมาให้รกกระเป๋าหรอก แตกใส่กระเป๋ามาไม่คุ้ม (ซอส) แล้วถ้าเป็นกู๊ (แทนป้าเรา) กู๊จะทำยังไงหรอ" ป้าบอกว่า "ให้ทำยังไงรู้มั้ย? ให้โยนทิ้งใส่ถังขยะ" เพราะว่าโฮสต์เราขี้เหนียวมาก งกมากด้วย แล้วดูแลเด็กก็ไม่ค่อยดี ซักผ้าช้าบ่อยมากตั้งแต่เราอยู่มา ดูไม่ค่อยมีความรับผิดชอบอ่ะ ป้าเราเลยอยากให้เราแก้เผ็ดแบบนั้น แต่เราไม่ได้ติดใจอะไรมากขนาดนั้น.. ถ้าย้อนเวลาไปทำได้ก็อยากทำนะ อิอิ ถือว่าเขียนไปขนาดนี้แล้วเนอะ จริงๆเขาก็ไม่ได้แย่มากอะไรเบอร์นั้นหรอก แต่โฮสต์ย่าแค่ไม่ค่อยดี โฮสต์มัมดีที่สุดในบ้านแล้วแต่คนที่ดีที่สุดก็มักไม่ค่อยจะอยู่บ้าน
--- จบพาร์ทของโฮสต์แฟมิลี่แล้วค่ะ ---
🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡
Chapter 2 : my NZLC School and lovely friends 🇳🇿💞
ส่วนนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของโรงเรียนและก็เพื่อนค่ะ สำหรับ NZLC Auckland มันเป็นที่แรกๆที่พวกเอเจนซี่จะนำเสนอ เพราะว่าตัวโรงเรียนอยู่ใน NZQA Category 1 หมายความว่า เป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษแบบ topๆ เลย แถมโรงเรียนตั้งอยู่ในใจกลางเมือง เดินไปที่ Viaduct Harbour ได้แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง.. เขต CBD หรือที่เป็น City Centre ก็ไม่ไกลจากโรงเรียนเช่นกันค่ะ ใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาทีก็เข้าเมืองได้แล้วค่ะ ของในเมืองมีครบค่ะ ทั้งร้านเสื้อผ้า เช่น Cotton On,ร้านอาหารจีน/เกาหลี/ญี่ปุ่น,ร้านกาแฟ เช่น Starbucks/Sierra Coffee,ร้านขายยา,ร้านรองเท้า,ร้านขายของที่ระลึก (Souvenir),แบรนด์เนม เช่น Dior/Louis Vuitton, โรงหนัง Event Cinema, ลานโบว์ลิ่ง, ธนาคาร เช่น ANZ, Shop ซื้อโทรศัพท์หรือซิม เช่น Vodafone มีหมดค่ะ เพียงแต่ต้องหาดีๆ เพราะ City Centre ใหญ่และกว้างมาก ก็คือคำถามยอดฮิตของคนไทยก่อนไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศคือ "คนไทยเยอะมากมั้ยคะ" คำตอบที่เราจะตอบ: 1. ที่ NZLC เราก็ไม่ได้มีข้อมูลมากว่าคนไทยเยอะมั้ยในห้องของ adult เพราะเราเจอคนไทยแค่ 3 คน คนนึงคือพี่ซาร่า เป็นคนไทยคนเดียวในห้องที่เราเรียน, คนนึงคือเพื่อนพี่ซาร่า คือพี่แนท พี่แนทเนี่ยเรามารู้ตอนหลังว่าเขามาเอเจนซี่เดียวกับเรา เพราะเอเจนท์เราไม่ได้บอกชื่อพี่แนทไว้ เราเลยยังงงๆอยู่ 5555 และอีกคนนึงก็คือพี่ต้น เราเห็นเขาพูดภาษาไทยเลยเดินเข้าไปทัก สุดท้ายเลยได้ทำความรู้จักกันไว้ แต่ที่แน่ๆคือในฝั่งของ YL จะมีเด็กไทยมาเรียนเยอะมาก ญี่ปุ่นก็เยอะ ไหนจะคนจีนอีก เรารู้จักคนไทย 3 คนจากอันนี้ คนแรกชื่อจิว เขามาเรียนประมาณ 2 เดือนครึ่งมั้ง เรียน Pre-Intermediate อีกคนชื่อกฤช Pre-Intermediate คนนี้กวนมาก อยากถีบ 555 อีกคนคือเดียว ในห้องคนญี่ปุ่นตั้งว่า "นานา" Pre-Intermediate เด็กไทยส่วนมากเขาจะเรียน Pre-Intermediate กัน ส่วนนุ่นได้ Elementary ส่วนเราโดดมา Intermediate 2 คนเดียวแบบเหงาๆงี้ 😞 นั่นหมายความว่า ถ้าอยากได้คนไทยน้อยๆควรจะสอบเลเวลภาษาอังกฤษให้ได้สูงๆเข้าไว้ เพราะคนไทยส่วนมากจะอยู่ใน intermediate 1 ถ้าขึ้นมาสูงกว่านั้นคนไทยก็จะน้อยลงเรื่อยๆ 2. ในห้องเรียนของเรา คนอเมริกาใต้/ละติน เยอะมาก เราจะเขียนชื่อเพื่อนเราไว้ - Jim/Tyron คนจีน - Sarena/Kokoro คนญี่ปุ่น (จริงๆซารีนาเป็นลูกครึ่งกีวี-ญี่ปุ่น ถือพาสปอร์ต ทั้งญี่ปุ่นและนิว แต่โตที่ญี่ปุ่น แล้วมาเรียนภาษาที่นิวซีแลนด์) - Katarina คนโคลัมเบีย - Vale/Rosa/Natalia คนชิลี แต่ตอนหลัง Natalia ขอย้ายลงไป intermediate 1 แทน - พี่ซาร่า/เรา(มี่) คนไทย - Magda คนบราซิล - Thomas คนนิวคาโลโดเนีย (เป็นประเทศหมู่เกาะของฝรั่งเศส ถือเป็นพวก T.O.M. จะไม่ใช่แบบพวก Guadeloupe ที่เป็น D.O.M คือ T.O.M เป็น Territory เป็นอาณานิคมแหละแต่เป็นการปกครองตนเองคล้ายๆฮ่องกง ก็เป็นคนฝรั่งเศสแต่มีเอกราชเป็นของตัวเอง ส่วน D.O.M. คือเป็นส่วนหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ถ้าฝรั่งเศสมีประธานาธิบดีคนไหนที่นั่นก็มีคนนี้เป็นประธานาธิบดีด้วย แต่ความเหมือนคือคนพวกนี้ได้สัญชาติฝรั่งเศสและพาสปอร์ตฝรั่งเศส) - Gracia คนสเปน (ถ้าอึ้งว่าเป็นคนยุโรปทำไมถึงมาไกลถึงนิวซีแลนด์ เราถามนางมาแล้วนะ นางบอกว่า "วันนั้นฉันอ่านหนังสือพิมพ์ในสเปนและได้แต่คิดว่าทำไมประเทศฉันถึงดูอันตรายจังนะ เลยเริ่มหาที่เรียนภาษาอังกฤษและมีที่ให้ trekking (เดินเขา) เยอะๆ ฉันเลยเลือกนิวซีแลนด์และบินมาที่นี่ ส่วนอังกฤษฉันว่ามันใกล้บ้านฉันเกินไปและไม่ค่อยชอบเท่าไหร่") ตัวเราเองเรียนในห้อง 216 โดย 2 คือชั้น 2 และ 16 คือเลขที่ห้องจ้า
แบบถ้าใครได้เรียนที่ NZLC ฝากทักทาย Emma ที่เป็นคนดูแลเด็กๆ Young Learner Programme กับคนฝรั่งเศส (เอ็มม่าพูดภาษาฝรั่งเศสได้จ้า) แล้วก็ป้าเบญเป็นคนไทยที่ดูแลเด็กไทยแล้วก็อยู่ที่เคาน์เตอร์ ฝากทักทาย 2 คนนี้ด้วยน้าาาา บอกว่าตามมาจากบล็อกของเราก็ได้ คิดถึง 2 คนนั้นมากๆเลย ฮือออ
เพื่อนๆในห้องของเราเอง ~ คิดถึงมากๆ เราเป็นคนที่มาช้าสุด (เรามาพร้อมกับ Magda) แต่กลับเร็วสุด เพราะพวกนี้เขามาเรียนระยะยาวกันส่วนมากก็ 3-6 เดือน คนที่จบเขาก็จะได้เลเวล Upper-intermediate กับ Advanced กัน ถือว่ามาแล้วคุ้มอ่ะ รูปนึงถ่ายกับเพื่อนและทีชเชอร์ดาเนีย แต่รูปนึงถ่ายกับพี่ๆสต๊าฟ,เพื่อนในห้องแล้วก็นุ่นด้วย พี่ๆสต๊าฟที่นี่ดีมาก โดยเฉพาะป้าเบญ ถ้าป้าเบญอ่านอยู่ หนูคิดถึงป้าเบญมากๆ (ฝากบอกป้าเบญด้วยยยยยย)
แต่ความจริงคือเราอยากบอกว่าเราแอบอึดอัดนิดหน่อยกับเพื่อนในห้องนี้นะ จะลิสต์ให้ :
- คนอเมริกาใต้ (Latina) ด้วยกันจะสนิทกันเร็วมาก หรือไม่ก็พวกญี่ปุ่นกับเกาหลี สนิทกันเร็วจนเรารู้สึกเป็นคนนอกอ่ะ แบบเหมือนช่วงพักพวกนี้ก็จะพ่นภาษาสเปนด้วยกันแล้วเราก็ฟังไม่รู้เรื่องไง แล้วเวลาอยากคุยด้วยเราก็หาจังหวะไม่ถูก เพราะกลัวว่าจะไปขัดเขา ดูไม่มีมารยาทอ่ะ
- ด้วยความเป็นเด็กของเรา เวลาที่เขาคุยกันบางทีก็คุยกันเรื่องประสบการณ์ทำงาน,ชวนกันไปกินเหล้า เราก็แบบ... (เอ๋อ) ไม่รู้จะคุยด้วยเรื่องอะไรไง บางเรื่องที่เขาคุยกันเราไม่รู้เรื่องอ้ะ ให้ทำไง ถ้าไม่ติดว่าได้เลเวลนี้เรายอมลงไปเรียนกับเด็กด้วยกันดีกว่า คือมีเพื่อนมั้ยก็มีอ่ะ แต่มันมีช่องว่างระหว่างวัยเยอะ
- วนกลับมาที่เรื่องเรียนกันก่อน -
หนังสือของที่ NZLC จะเป็นหนังสือยืมเรียน ซึ่งเราต้องเสียเงินค่ามัดจำหนังสือไว้ 100 NZD (ประมาณ 2,100 บาท) และจะมีบิลที่เป็นหลักฐานการจ่ายเงินไว้ เรามีหน้าที่ต้องรักษาหนังสือไว้ในสภาพที่ดีที่สุด ห้ามขีดเขียนใดๆลงในหนังสือทั้งสิ้น พอเรียนจบคอร์สก็เอาหนังสือและบิลที่เป็นหลักฐานการมัดจำ เราจะได้เงินคืนมา 100 NZD
จะมีใบมัดจำหนังสือที่เขาจะเขียนชื่อเรา, จำนวนเงินมัดจำ เก็บเอาไว้ดีๆนะ ถ้าทำหายอาจไม่ได้เงินคืน
บรรยากาศในห้องเรียน
ในคาบเช้า (9.00-12.15 น.)จะเรียนกับ Teacher Dania จะเน้นการเรียนในหนังสือ เน้นการอ่านและเขียน Teacher จะสอน Vocabulary เพิ่มเติมเยอะมากๆเพื่อเป็นการเพิ่มคลังศัพท์ในสมองเรา มี quiz ให้ทำเยอะมากและก็มีการบ้านด้วย แต่การบ้านไม่ได้เยอะขนาดนั้น ถ้าครูสั่งเราก็แนะนำให้ทำนะ เพราะว่าเป็นการเรียนรู้เพิ่มเติมจากในห้องเรียน ส่วนมากจะเป็นการบ้านเน้นทักษะการ writing
ของเราได้เขียนเกี่ยวกับการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยคนเดียวในห้อง ส่วนคนอื่นเขียนจดหมายในการสมัครงานเอา เพราะเรายังเรียนอยู่ให้เขียนเรื่องสมัครงานก็คงทำไม่ได้
คาบบ่ายจะเน้นทักษะที่ใช้ในการสื่อสารประจำวัน
ในส่วนของคาบบ่าย จะเน้นการ Speaking และ Listening จะไม่เรียนในหนังสือ แต่เขาจะมีชีทมาแจกให้ทุกวัน เช่น เรื่องการต่อราคาสินค้า, เกี่ยวกับ Criminal, เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยต่างๆและโรงพยาบาล หรืออาชีพต่างๆ, การท่องเที่ยว, การเล่าประสบการณ์ของตัวเองเรื่องการเรียนหรือการทำงาน มันจะเป็นเรื่องใกล้ตัวเราเนี่ยแหละ ก็จะได้คำศัพท์และ meaning เพิ่มไปอีก จะมีการจับกลุ่มเพื่อ discuss เรื่องหรือ topic ต่างๆที่เราจับได้ หรือเป็นงานคู่กันเพื่อทำตามคำสั่งที่ Teacher สั่ง คาบบ่ายเราได้เรียนกับ Teacher Rider เป็นคาบเรียนที่สนุกดีนะ ได้ฝึกพูดเยอะมากๆ แต่บางหัวข้อเราก็ไม่มีความรู้อ่ะ เลยพูดกับเพื่อนได้น้อย มันเป็นข้อเสียอย่างนึงของการมาเรียนห้องผู้ใหญ่ตรงที่เรายังเป็นนักเรียนอยู่แต่ 95% เขาเป็นวัยทำงานกันแล้ว เราจะได้ topic ที่บางทีมันไกลตัวเราเกินไปอ่ะ พอเวลาให้พูดก็จะรู้สึกสตั๊นท์ พูดไม่ค่อยถูก พูดแล้วงงๆ อะไรแบบนี้ ในขณะที่ทางฝั่ง YL คนเรียนเป็นเด็กอ่ะ เวลาได้หัวข้ออะไรมาต่างฝ่ายก็ต่างรู้เรื่อง ต่างเข้าใจกันไง เพราะเป็นช่วงวัยเดียวกัน แต่ของเรามันไม่ใช่ ช่องว่างระหว่างวัยมันเยอะมาก เพราะเราอายุ 16 แต่คนในห้องอายุเฉลี่ยคือ 25-34 ส่วนมาก 90% คือเรียนจบป.ตรีกันหมดแล้ว ทำงานกันได้ 2-3 ปี แล้ว
เป็นภาพในไอจีจากคนที่ชื่อมียู มาเรียนภาษาที่ NZLC 3 เดือนก่อนเข้าเรียนม.ปลายที่นิวซีแลนด์
ในกลุ่มนี้มีคนไทย 5 คนคือเรา (มี่),นุ่น,กฤช,จิวแล้วก็เดียว (คนญี่ปุ่นเรียก นานา)
ส่วนคนญี่ปุ่นมีทั้งหมด 5 คน มีชูยะ,มียู,ชิโอะ,ยูริ,เคนจิ มี 4 คนมาเรียนต่อที่นิว ส่วนชิโอะกลับญี่ปุ่น
เด็กญี่ปุ่นนี่โชคดีมากนะ พ่อแม่เขาส่งมาเรียนม.ปลายที่นิว 3-4 ปีเพื่อให้ได้ภาษาอังกฤษแล้วกลับไปเรียนมหาลัยที่ญี่ปุ่นต่อ (ไม่ค่อยนิยมเรียนต่อที่นิวกัน) ก่อนเข้าเรียนเขามาเรียนภาษาอังกฤษที่ NZLC ก่อน
เวลาไปไหนก็ไปด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆแต่เดินแบบไม่ขวางทางคนอื่นนะคะ แต่เสียงจะดังมาก 555
ใครบอกว่าเด็กญี่ปุ่นเก่งภาษาอังกฤษเราเถียงขาดใจเด้อจ้าาาาา ไม่เป็นความจริงขั้นสุด เด็กญี่ปุ่นมีปัญหาเรื่องการฟังกับการพูด คือถ้าพูดแบบปกติเขาจะฟังไม่ทันเลย ต้องขอให้พูดช้าๆชัดๆเป็นคำๆ แล้วเวลาตอบกลับจะติด pronunciation จากภาษาญี่ปุ่น ทำให้ฟังยากมากๆ ส่วนทักษะการอ่านกับเขียนเขาจะดีกว่าเด็กไทย ส่วนเด็กไทยได้เปรียบเรื่องการฟังกับอ่าน คือจะฟังรู้เรื่อง แต่คิดไม่ออกว่าจะตอบยังไง
แต่ภาพรวมแล้วเด็กไทยก็ยังเก่งกว่าเด็กยุ่นค่ะ เด็กไทยจะได้ระดับ Pre-Intermediate กัน ส่วนเด็กญี่ปุ่นทั้ง 5 คนนั้นเรียน Elementary ค่ะ
เราว่าคนญี่ปุ่นไม่เฉพาะผู้หญิงแต่เป็นผู้ชายด้วยค่ะ ชอบทำอะไรดูมุ้งมิ้ง น่ารักๆ จนผู้หญิงแบบเราอาย 😝
ไป chilled out กันที่ Starbucks ค่ะ เป็นสถานที่โปรดของเรากับโพเอ้ เครื่องดื่มที่นี่น่าสนใจมาก มีโปรออกบ่อยด้วย ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ
เราสั่งเป็น Cinnamon ปั่นค่ะ ส่วนโพเอ้สั่ง Cold Brew เพราะว่าแพ้นมค่ะ เลยกินได้แต่กาแฟเพียวๆ
วันศุกร์นั้นเราไปเดินช็อปปิ้งกับโพเอ้ค่ะ เพราะว่าโพเอ้เอาเสื้อผ้ามาน้อยเลยไปซื้อเพิ่ม ส่วนวันศุกร์ก็มีเรียนแค่ตอนเช้า เลยว่างตอนบ่ายๆแล้วก็ไปเดินด้วยกันค่ะ
ส่วนคนนี้ชื่อ Poeiti (โพเอ่ะ) เป็นคนตาฮิตี (French Polynesian) อายุ 23 ปี ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่ แต่ภาษาอังกฤษนางก็เทพมาก นางมาเรียน IELTS ได้ IELTS 3 (เลเวลสูงสุด) แปลว่าได้ C1 หรือ Advanced โคตรเทพพพพพ นางบอกว่านางฟังภาษาสเปนรู้เรื่องด้วย เพราะว่าตอน High School กับมหาลัยเคยเรียนภาษาสเปนมา เทพไปอีกกก วู้ววว (นางชอบภาษาเกาหลีและเคยเรียนญี่ปุ่นด้วยค่ะ ดูเป็น Polyglot มากๆเลย) นางน่ารักมากเลยนะ เป็นคนตลกด้วย แบบเหมือนคุยไปแล้วสนุกมากอ่ะ เวลาเล่นมุกตลกคือตลกจริง แล้วนางก็แบบบอกว่าเพื่อนนางชอบประเทศไทยมากกก ติดละครไทยด้วย (นางถามว่า "Is that called Lakorn?) เราเลยชักชวนนางว่าลองมาหางานทำที่ไทยสิ ไม่ก็นิว เพราะว่านางบ่นว่างานที่ตาฮิติหายากมาก จะเอาแต่คนมีประสบการณ์ทุกบริษัทเลย แต่ไม่มีที่ไหนรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ (อ้าวเห้ย แล้วจะหางานยังไงอ่ะ ก็แต่ละที่ก็รับแต่คนมีประสบการณ์ ตลกปะเนี่ย)
จนตอนนี้ก็ยังคุยกันอยู่นะคะ นางมีส่งจดหมายมาหาด้วย ดูย้อนยุคดีแต่เราชอบนะคะ เราเลยส่งเป็นของ Souvenirs จากไทยไปให้ที่ตาฮิติแต่ค่าส่งหฤโหดมาก เราซื้อของไป 1,200 บาท ค่าส่งลงทะเบียนอีก 1,010 บาทค่ะ 😱 จะมีป้าเบญ เป็น receptionist คนไทย ป้าเบญน่ารักมากๆเลยแหละ เพราะว่าคอยช่วยเหลือเราตลอดเลย เช่น ตอนนั้นเรา activated ซิมโทรศัพท์ไม่เป็น ป้าเบญก็ช่วยบอกพี่บรูซให้ (พี่เขาเรียน IELTS) แล้วพี่บรูซก็มาสอนวิธีการ activated ซิม ป้าเบญคอยบอกเสมอว่า "มีอะไรมาคุยกับป้าเบญได้นะลูก" อย่างตอนนั้นที่มีปัญหาเรื่องโฮสต์ทำกับข้าวกินไม่ได้ ป้าเบญก็บอกให้คุยกับ accommodation department ได้เลย หรือตอนที่เราหาที่ชาร์จกล้อง Olympus PEN E-PL8 ไม่ได้ ป้าเบญก็ช่วยหา adaptor มาจาก Meagan ให้ รวมถึงตอนกลับป้าเบญก็แจกแฟ้มจาก NZLC ให้เยอะมากกก คิดถึงป้าเบญที่สุด ❤️
- มาพูดถึงวันแรกที่มาโรงเรียนกันดีกว่า เรียกว่า Orientation Day ค่ะ -
พอมาโรงเรียนวันแรก คอร์ส General English จะเริ่มได้ทุกๆวันจันทร์ตลอดปี เรานั่งรถบัสออกมาจากบ้านโฮสต์แล้วลงที่ป้าย Sturdee Street จุดสังเกตคือทางด้านซ้ายจะมีบริษัทด้านการออกแบบชื่อว่า IGNITE จากนั้นก็เดินผ่านสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้าย ต้องเป็นสระว่ายน้ำชื่อ Tepid Baths แล้วมันจะมีซอยฝั่งซ้ายก็เดินเลี้ยวไปแล้วจะเจอป้าย NZLC สังเกตเห็นง่ายมาก
ลงจากรถแล้วเห็น Sky Tower มุมนี้พอดีเลยถ่ายรูปไว้ ส่วนภาพขวาคือป้ายรถบัสที่ต้องลง
เดินมาถึงที่ตึก NZLC จะมีร้านกาแฟเล็กๆอยู่ฝั่งขวามือ ถ้ามาถึงแล้วชั้น 1 เห็นมีลิฟต์กับประตูนั่นคือมาถูกแล้วนะ วันแรกขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 2 เลยก็ได้แล้วพอวันอื่นค่อยเปิดประตูใช้บันได้เอา
เราถ่ายรูปตารางกิจกรรมนี้มา เผื่อว่าจะหาอะไรทำหรืออยากไปเที่ยวที่ไหน
ขึ้นมาถึงแล้วจะเจอ Counter แล้วจะมีป้าเบญคอยให้คำแนะนำว่าให้เดินเข้าไปด้านในสุดจะเป็นห้องไว้กินข้าวหรือที่เรียกว่าก "Student Lounge" แต่ตอนเช้าจะใช้สำหรับให้นักเรียนใหม่มารอส่งพาสปอร์ตกับประกันและนั่งรอการปฐมนิเทศจากพี่สต๊าฟก่อน
แนะนำแผนที่อันนี้ค่ะ เพราะว่าค่อนข้างละเอียดและดูง่ายด้วย
ตารางของการปฐมนิเทศก็จะประมาณนี้ค่ะ ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรแล้ว
พอวันแรกที่มาถึง เราจะต้องเริ่มเรียนกันตอนวันจันทร์ใช่มั้ยคะ แต่ว่าของที่ NZLC วันแรกควรจะมาถึงก่อน 8.30 ค่ะ พอมาถึงเราก็ต้องเอาพาสปอร์ตของเราพร้อมวีซ่าและใบข้อมูลเกี่ยวกับประกัน (ในกรณีที่สมัครประกันมาเอง แต่ถ้าสมัครกับทางโรงเรียนก็รอประมาณ 2-3 วันโรงเรียนจะเอาประกันมาให้) แล้วเขาก็จะเก็บพาสปอร์ตและประกันไป copy เก็บไว้แล้วค่อยเอามาคืนเราค่ะ
** พิเศษ เฉพาะของเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี หรือ Young Learner Programme **
ใครที่จะเรียนที่ NZLC เซฟเบอร์พวกนี้ไปเลยก็ดีค่ะ
สำหรับเด็ก YL จะมีให้ติ๊กว่าเข้าใจสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำด้วยค่ะ
** จบในส่วนของเด็ก YL**
หลังจากนั้นสตาฟก็จะขานชื่อเรา ให้เดินมาและเอาสติ๊กเกอร์ที่เป็นชื่อนามสกุลเราแปะไว้ แล้วก็จะมีแยกฝั่งคือสติ๊กเกอร์สีแดงกับสีเขียว ของเราได้สีแดง ได้นั่งฝั่งซ้ายมือ และสีเขียวจะอยู่อีกฝั่งนึง เสร็จแล้วก็จะมีคนมาสัมภาษณ์เหมือน speaking test/interview อะไรทำนองนั้น เขาก็ถามคำถามแบบไม่ได้ยากมากอ่ะค่ะ ก็แบบเคยไปเรียนที่ไหนบ้างมั้ย,ชอบทำอะไรเวลาว่าง,มาที่นี่นานเท่าไหร่,ชอบสีอะไร,คิดว่ามาที่นี่ภาษาอังกฤษจะดีขึ้นมั้ย เสร็จก็จะมีการปฐมนิเทศต่อ ถ้าอยู่กับ homestay เขาก็จะบอกสิ่งที่ควรทำและก็ไม่ควรทำ
อันนี้เป็นสติ๊กเกอร์ชื่อของเราเอง แล้วก็จะติดสติ๊กเกอร์สีแดงไว้ให้เพื่อแยกคิวในการต่อแถว พอ 11 โมงเขาก็จะให้เข้าไปในห้องคอมพิวเตอร์เพื่อทำ placement test/assessment test เพื่อวัดระดับภาษาอังกฤษของเรา โดยจะมี 2 พาร์ท เขาจะแจกใบไว้ให้ log in ก่อน
เขาจะบอกเองว่าให้ทำยังไง เข้าเว็บไหนใส่ข้อมูลยังไงบ้าง ต้องฟังเขาพูดจ้า ถึงจะทำถูก
1. พาร์ทการเขียน (Writing an essay) จะมีเวลาให้แค่ 20 นาที ต้องรีบพิมพ์ตาม topic ที่เขากำหนดให้ ของมี่ได้เรื่อง "ถ้าเพื่อนสนิทย้ายมาอยู่ในบ้านย่านเดียวกับเรา.. เราจะพาเขาเที่ยวที่ไหนบ้าง" คือต้องพิมพ์ให้ครบใน 20 นาที แล้วถ้าไม่เสร็จคือก็แก้อะไรไม่ได้แล้วนะ เพราะพอครบ 20 ปุ๊ปมันตัดออกมาจากหน้านั้นเลย สำหรับเรา เราว่ามันไม่ได้ยากมากอ่ะ ก็ชิวๆ พิมพ์ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าคนที่พิมพ์ไม่ได้มันจะแบบพิมพ์ๆๆแล้วก็ลบๆ พิมพ์แล้วก็ลบไปอย่างงี้แหละ 2. พาร์ท Grammar, Use of English และการ Reading คือมันจะมี 4 passages มาให้ พาร์ทแรกง่ายมาก เกี่ยวกับเด็กชาวกีวีที่มาเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันของเขา, อันที่ 2 เกี่ยวกับอะไรไม่รู้อ่ะจำไม่ได้, อันที่ 3 เกี่ยวกับนกแพนกวิน และอันที่ 4 เกี่ยวกับเว็บไซต์ trademe.com ทำเสร็จผลสอบจะยังไม่ออก จะออกตอนหลังกลับมาจาก city tour แล้วอ่ะ แต่ของเรา.. เราได้รู้ผลสอบก่อน เพราะว่า Alexis (academic department) เขาเดินมาที่ห้องคอมแล้วบอกว่า "Excuse me, may I see.. Kan..(ชื่อจริงเราเอง)?" เราก็เลยเดินออกไป แล้วเขาก็ถามประมาณว่า (เราจำได้ลางๆ) "Hey, Your level is higher than YL programme, would you like to study in Intermediate 1 (YL) or join an adult class in Intermediate2? but.. I think intermediate 1 might be easy for your level" เราเลยถามว่า "what do you think?" เขาก็ตอบว่า "I don't know, it's up to you!" เราเลยบอกว่า "okay.. I will join an adult class, thanks Alexis" เขาก็เลยทำการจัดแจงย้ายเราจากตอนแรกที่เราสมัคร YL ให้ไปเรียนรวมกับผู้ใหญ่แทน เท่ากับว่าในตอนนั้นในกลุ่ม YL ที่มาวันนี้มีทั้งหมด 5 คน คือนุ่น,เรา,ชิซูกะ,ชิโอะ แล้วอีกคนจำชื่อไม่ได้ แต่เป็นคนญี่ปุ่น 3 คนไทย 2 เราได้ออกจากกลุ่ม YL คนเดียวแล้วก็ออกไปเรียนรวมกับกลุ่มผู้ใหญ่.. ในห้องเราก็เลยเป็นนักเรียนที่เด็กมากที่สุดในห้อง (เรารู้สึกดีใจมากๆเลยนะ 5555) ส่วนอีกคนนึงที่เด็กก็คือ Thomas อายุ 17 จากนิวคาเลโดเนีย ในห้องเราคนอายุมากสุดรู้สึกว่าจะ 40 กว่าๆเป็นกาตารีน่า
หลังจากสอบเสร็จก็จะมี orientation quiz แล้วก็ปล่อยไปกินข้าว พอกินย้าวเสร็จก็ให้มาที่ห้องคอม เขาจะสอนวิธีการใช้ elllo.org ไว้ฝึกภาษาอังกฤษ แล้วก็แอพสอนภาษาอังกฤษในคอมของ NZLC หลังจากนั้นก็ค่อยออกไปเดิน city tour รู้สึกว่าจะพาเดินไปที่ Viaduct Harbour ก่อน ตามด้วย Ferry Building, Britomart (จำชื่อนี้ไว้ดีๆ เพราะเวลาเติมบัตร HOP ต้องเดินไปเติมที่นี่นะ), Life Pharmacy อะไรงี้แหละ ก็สนุกดี พอเดินเสร็จก็ต้องกลับมาที่โรงเรียนเพื่อ... "เอาใบคะแนนสอบของตัวเองว่าอยู่เลเวลไหน เรียนห้องไหน เรียนกับ Teacher อะไรบ้าง (ที่นี่มี morning class กับ afternoon class ไม่ใช่ teacher คนเดียวกันสอน)" ของเราได้เรียนกับ Dania (เป็นคน UAE ที่มาเกิดและโตที่นิว) แล้วก็ Rider (คนบราซิลแต่เรียนแคนาดาแล้วก็ย้ายมาทำงานที่นิวซีแลนด์) โดยคลาสตอนเช้าจะเริ่มเรียน 9.00-12.15 (พักเช้า 10.30-10.45 แค่ 15 นาทีเท่านั้น) และพักกลางวัน 12.15-13.15 แล้วก็เรียน afternoon class 13.15-15.15 เรียนแบบ non-stop ไม่มีเบรกเลย จะเรียนแบบนี้ตั้งแต่วันจันทร์-วันพฤหัสบดีเลย แต่วันศุกร์จะมีเรียนแค่ morning class เท่านั้น เท่ากับว่าทั้งอาทิตย์เราจะได้เรียนภาษาอังกฤษ 23 ชม. ในขณะที่นุ่นได้เรียน 25 ชม. ต่อวีค
ในใบจะมีชื่อของเรา, preferred name, student ID, เลเวลที่เราได้, Teachers ที่สอนเราตอนเช้าและบ่าย, ตารางสอนวันจันทร์ถึงศุกร์, ตารางกิจกรรมที่เราสามารถลงได้ต่อหลังเลิกเรียน
เป็นบัตรนักเรียนของทาง NZLC เก็บมันไว้ดีๆ มันเอาไปลดราคาค่าข้าวร้านอาหารไทย Krungthep Thai Street Food ใต้ตึกได้ มันลดไป 10% ลดค่าตั๋วหนังก็ได้นะ ถึงจะไม่ได้ลดเยอะมาก แต่ก็พอช่วยประหยัดเงินได้บ้าง ปล. สำหรับบัตร HOP ถ้ามาเรียนมากกว่า 14 สัปดาห์สามารถขอให้ทางโรงเรียน convert บัตรเป็น student price ได้ เห็นว่าราคาจะอยู่ที่ 2.99 NZD มั้ง ถ้าจำไม่ผิด แล้วก็สามารถทำงาน part time ได้ด้วยแต่ประเด็นอยู่ที่ว่า.. "จะหางานได้มั้ย" พอวันสุดท้ายที่เรียนใกล้จบ เราก็จะได้รับใบประกาศนีบัตรพร้อมเลเวลภาษาอังกฤษของเรา และใบความเห็นจาก Teacher เกี่ยวกับ Listening, Speaking, Reading and Writing skills ค่ะ
ด้านซ้ายเป็นใบประกาศนียบัตรและเลเวลที่เราได้ ส่วนด้านขวาเป็นใบคอมเมนท์จาก Teacher Dania
ใบประกาศนียบัตรพร้อมเลเวล Intermediate 2 หรือ B1+ ของเรา ในวันสุดท้ายก่อนที่เราจะกลับไทย มันเป็นวันพฤหัสบดี แล้วโป๊ะเช๊ะคือเราได้สอบเลื่อนเลเวลไปที่ upper-intermediate แล้วเราดันสอบผ่านด้วย!! มันจะมีสอบทั้งหมด 5 ทักษะ เงื่อนไขการผ่านและได้เลื่อนเลเวลก็คือ 1. มีคะแนนสอบผ่าน 60% หรือมากกว่า 2. สอบผ่านตั้งแต่ 3 พาร์ทขึ้นไปจากทั้งหมด และถ้าสอบไม่ผ่านก็จะได้เรียนเลเวลเดิมอีก 10 สัปดาห์และก็สอบใหม่อีกรอบ (ห้องเรามีจิมที่ไม่ผ่าน) - Writing (14/20) ผ่าน ✔ คะแนนผ่านขันต่ำ : 12 พาร์ทนี้เราเป็นคนได้คะแนนสูงสุดในห้อง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตอบอีเมล์ลูกค้าที่ได้รับบริการจากโรงแรมเราที่ไม่ดีเลย - Use of English (43/60) ตก ❌ คะแนนผ่านขั้นต่ำ : 45 ขาดอีกแค่ 2 คะแนนอ่ะ เสียใจมาก ส่วนในห้องเรามี Kokoro ได้ 54 จาก 60 - Reading (8/10) ผ่าน ✔ คะแนนผ่านขั้นต่ำ : 6 พาร์ทนี้ไม่ได้ยากมากสำหรับเรา - Listening (5/10) ตก ❌ คะแนนผ่านขั้นต่ำ : 6 พาร์ทนี้เรางงและสับสนมาก คำถามคำตอบมันคล้ายๆกันไปหมด เลยทำให้คะแนนไม่ดีตามที่หวัง - Speaking : (16/20) ผ่าน ✔ มีคะแนน 4 พาร์ท พาร์ทละ 5 คะแนน เราเองได้ (4/4/4/4) ผ่านหมด คะแนนขั้นต่ำ : 12 (3/3/3/3)
--- จบเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษที่ NZLC Auckland จ้า ---
🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡
- เรื่องอาหารกลางวันของที่ NZLC 🍱 -
บอกก่อนเลยละกันนะว่า "อาหารกลางวันของที่ NZLC จะไม่เหมือนที่ Stafford House ตอนที่เราไปอังกฤษ เขาจะไม่มีอาหารหรือ Canteen ไว้ให้นักเรียนกินเอาเอง" วิธีการกินมีแค่ 4 แบบเท่านั้น คือ
1. เป็น packed lunch ของที่โฮสต์ทำมาให้ แต่เราไม่ได้เลือกข้อนี้เพราะว่าป้าเราบอกว่ากินกับโฮสต์ 2 มื้อตอนเช้ากับเย็นก็พอ ถ้าให้โฮสต์ทำให้ก็จะเสียเงินค่าโฮสต์เพิ่มอีก 30 NZD/สัปดาห์ และทาง NZLC จะมีไมโครเวฟไว้ให้เพื่ออุ่นอาหารให้ร้อนอีกครั้งนึง (นักเรียนส่วนมากกิน packed lunch กัน)
2. ทำอาหารมากินเอง สำหรับนักเรียนที่อยู่เป็น Student House หรือเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่เอง
3. รอคนญี่ปุ่นเอาอาหารมาขายตอนกลางวัน กล่องละ 7 NZD เป็นผู้ชายญี่ปุ่นเดินเข้ามาตั้งโต๊ะอยู่กลาง Student Lounge เราเลือกข้อนี้ แต่ข้อเสียคือขายหมดค่อนข้างเร็ว โชคดีที่ห้องเราห่างจาก Student Lounge แค่ 10 ก้าว เราเลือกซื้อข้าวกินทันเกือบทุกวัน แต่มีประมาณ 3 วันที่ซื้อไม่ทัน พอซื้อข้าวแล้วเขาก็จะให้ตะเกียบกับทิชชู่มา ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีอาวุธไว้กินข้าวจ้า เขาจะมีข้าวมาขายหลายเมนูเลยล่ะ เช่น คัตสึด้ง ไก่เทอริยากิ ไก่คาราเกะ กุ้งเทมปุระ ให้เยอะพอสมควร กินเสร็จอิ่มมาก เมนูแต่ละวันก็คละๆกันไปแต่เราชอบกินคัตสึด้งมากๆ เพราะว่าอร่อย อยากกินอะไรก็เลือกเอาเลยจ้า ถ้าใครไม่กินเนื้อวัวเหมือนมี่ต้องถามเขาก่อนนะว่านี่คือไก่หรือหมู
4. หาข้าวกินเองตามร้านอาหารแถวๆโรงเรียนหรือในตัว City Centre ซึ่งเราเคยกินอาหารไทยใต้ NZLC ชื่อว่า Krungthep Thai Street Food ถ้ามีบัตรนักเรียน NZLC จะลดค่าอาหารไป 10% ถ้าจำไม่ผิดลดราคาแล้วจะเหลือประมาณ 10.10 NZDหรือถ้าบางวันอยากกินมาม่าเกาหลีก็จะข้ามถนนไปซื้อที่มินิมาร์ทเยื้องๆกับ NZLC นั่นแหละ ใกล้ๆ Viaduct Harbour เลยจ้า
- ส่วนเพิ่มเติม หากต้องการความช่วยเหลือหรือว่าเกิดอาการ Homesick -
สำหรับเด็กๆที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ให้ไปคุยกับ Emma นะคะ ถ้ามีปัญหาอะไร
Emma เป็นคนน่ารักจ้า คุยง่าย เข้าใจเด็กๆด้วย เวลาเราสงสัยอะไรถามอยู่แต่กับป้าเบญและ Emma
ถ้ารู้สึกไม่ดี เกิดอาการ Homesick,เครียด,วิตกกังวล รู้สึก uncomfortable กับเพื่อนในห้องหรือเพื่อนคนอื่นๆ มันจำเป็นที่ต้องหาใครสักคนเพื่อรับฟังเรื่องราวของเรา ให้ไปหาทาง Student Servicesเพราะว่ามันจำเป็นมากๆที่เราต้องก้าวข้ามผ่านความรู้สึกแย่ๆเมื่อเราอยู่ไกลจากบ้านเกิด แต่ไม่ต้องกังวลค่ะ ให้คุยกับทาง Student Services ได้เลย เขายินดีให้ความช่วยเหลือ
เผื่อมีคนอยากลองสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่นิวซีแลนด์ แต่ไม่อยากเสียเงินแพงแบบ IELTS
แนะนำให้สอบของ NZQA จ้า พวกเกณฑ์คะแนนจะใช้เกณฑ์เดียวกันกับของ IELTS ค่าสอบ 150 NZD
หากต้องการติดตาม NZLC เข้าไปที่ Facebook ได้เลยนะคะ
ที่นี่มีคอร์สสอนทำค็อกเทล, เป็นบาริสต้าและคอร์สฝึกงานอื่นๆด้วยค่ะ เป็นโรงเรียนสอนทำไวน์ด้วย
--- จบพาร์ทเรื่องการเรียนที่ NZLC แล้วค่ะ ---
เพิ่มเติมเรื่องของการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ บนหน้าเว็บไซต์ของ NZLC
คือแบบว่าเราเป็นพวกชอบหาที่ Test ภาษาอังกฤษไปเรื่อยๆอะค่ะ แบบว่าวัดความสามารถด้านภาษาอังกฤษไปเรื่อยๆแบบนี้แหละ แล้วเราคิดว่ามันน่าจะมีคนนิสัยคล้ายๆเราคือชอบ Test ภาษาอังกฤษมากๆ ว่างๆไม่มีอะไรทำก็หาเว็บไป Test ซะ 555555 อ่ะ งั้นก็คลิกลิ้งก์นี้ เผื่ออยากจะลองไปเทสต์ (มันมีข้อสอบ Writing ด้วยนะ แต่สามารถติ๊กได้ว่าวางแผนจะมาเรียนที่ NZLC หรือว่าแค่มา Test เฉยๆ แต่ถึงติ๊กว่าจะเรียน.. เขาก็ไม่ตรวจ Writing Section ส่งกลับมาให้เราอยู่ดีแหละ)
ภาพผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษของเราบนเว็บไซต์ที่เราทำ General English และ IELTS
ตอนที่เรา Test สำหรับคอร์ส General English (GE) เราได้คะแนน 21/40 เอง หรือ Intermediate นั่นเอง ก็ไม่ต่างจากที่เราคาดการณ์เอาไว้เท่าไหร่จ้า แต่พอไปทำ Test จริงๆที่ NZLC เลยเขาจะแบ่งเลเวล Intermediate 1 กับ Intermediate 2 ด้วย แต่ละเวลอื่นไม่มีแบ่งแบบนี้นะ
และตอนที่เราลองทำของ IELTS ตอนแรกก็ว่าจะลง IELTS แต่ระยะเวลาที่เราไปมันแค่ 4 สัปดาห์แต่สำหรับ IELTS มันต้องลงเรียนขั้นต่ำ 5 สัปดาห์ขึ้นไป ก็เลยอดไป... เราได้ 8/13 คะแนน หรือว่า IELTS Level 2 (Upper-Intermediate, B2) โดยห้องของ IELTS ที่ NZLC จะเรียนที่สาขาตรง Hobson Street และมีเลเวลเพียง 3 เลเวลเท่านั้นคือ IELTS 1 (ประมาณ Band 4.0-5.0 เทียบเท่า intermediate หรือ CEFR B1), IELTS 2 (ประมาณ Band 5.0-6.0 เทียบเท่า upper-intermediate หรือ CEFR B2) และ IELTS 3 (ประมาณ Band 6.0-7.5 เทียบเท่า Advanced หรือ CEFR C1) โดย 1 เป็นเลเวลต่ำสุดและ 3 เป็นเลเวลที่สูงที่สุด
ซึ่งโพเอ้เพื่อนรักของเรานั้นสอบได้.. IELTS Level 3 จ้า นางเก่งเลยแหละ โตขึ้นจะเก่งแบบนางให้ได้เลย !! ตั้งเป้าหมายว่าจบมหาลัยภาษาอังกฤษต้อง C1, C2 จะดีใจมาก 555
เขาก็เลยตอบกลับมาว่า "คุณมี่, ขอบคุณที่ส่งเมลล์และทำการสอบวัดระดับก่อนนะคะ อ้อ..ใช่คุณต้องทำการสอบ placement test ในวัน Orientation Day ถ้าหากคุณจะเรียนคอร์สวิชาการ คุณยังไม่ต้องทำการสอบวัดระดับในตอนนี้ และคุณได้โปรดบอกฉันได้มั้ยว่าเอเจนซี่ของคุณคือใคร? เราจะทำการตรวจสอบหากว่าพวกเราได้รับใบสมัครของคุณแล้ว พวกเรากำลังตั้งหน้าตั้งตารอการสมัครของคุณนะคะ"
ความจริงเราว่า Band IELTS ของ NZLC มันดูแปลกๆตรงที่มันต้อง 5.5 ขึ้นไปนะถึงจะเป็น Upper-intermediate แต่ทำไมของที่นี่มันแค่ 5.0 ก็เป็น Upper แล้วล่ะ?
เห็นโพเอ้ (เรียน IELTS เลเวล 3) บอกว่า "IELTS ที่ NZLC เรียนหนักมาก แล้วก็การบ้านเยอะ ศัพท์ Academic เพียบ (ก็แหงล่ะ) แถมมีสอบวัดระดับและเตรียมความพร้อมเพื่อสอบ IELTS โดยทุกวันพุธจะมีเหมือนกับ mock up test ให้ทำ แล้ว Teacher ก็จะตรวจแล้วแจกคืนวันรุ่งขึ้น พาร์ทการเขียนของฉันเรียนเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยดีเลย (แต่เจ๊แกได้ 6.5 เลยนะ)"
แล้วโพเอ้เขามีสอบวัดระดับภาษาอังกฤษของ NET TEST เป็น NZQA Approved English Test คือตัวสเกลคะแนนมันจะเท่ากับ IELTS แต่ว่าค่าสอบจะถูกกว่า แต่เราไม่แน่ใจว่าใช้ได้เฉพาะในนิวซีแลนด์หรือเปล่านะ แต่ถ้าเอาแบบเป็นสากลสุดๆก็ IELTS (Ver. Updated ของเราเอง ไปอ่านเกี่ยวกับการสอบ IELTS ของเราได้เลยจ้า 😆) กับ TOEFL นั่นแหละดีที่สุดแล้ว (ขายตรงบล็อกตัวเองบนเว็บไซต์เก่าหน่อย... แต่ของเราเป็น TOEFL Junior นะ อิอิ)
ภาพหน้าตาผลสอบ NZQA Approved English Test จะใช้สเกลคะแนนเดียวกับ IELTS
สรุปแล้วโพเอ้ไปสอบมาได้ 7.5 หรือระดับ CEFR C1 ค่ะ ดีใจกับโพเอ้ด้วยน้าา 😘
อันนี้เป็น course calendar ของปี 2018 และตารางการสอบ IELTS พร้อมสถานที่สอบ
สำหรับคนที่ไป NZLC แล้วต้องการเช็คตารางของปีนั้นๆให้ไปที่บอร์ดจ้า สามารถดูได้เลยนะ
1) ภาพนี้เราถ่ายมาเบลอมาก ค่าสอบ NET Test สำหรับ NZLC Student คือ 150 NZD (IELTS ที่นี่ 385 NZD หรือประมาณ 8,000 กว่าบาท) และราคา 230 NZD สำหรับ Non-NZLC Student
ก็คือจะมีเกณฑ์คะแนนเท่ากับ IELTS, ครอบคลุมทั้ง 4 ทักษะทั้งการฟัง/พูด/อ่าน/เขียน, ราคาที่สามารถจ่ายได้, ผลสอบได้ภายใน 5 วัน, สามารถสอบได้ทุกๆวันศุกร์ใน 5 สัปดาห์ที่ NZLC ค่ะ
2) อะไรก็ไม่รู้ถ่ายมาไว้อย่างงั้นแหละจ้า 55555
--- จบเรื่องระดับภาษาอังกฤษของ NZLC Auckland เรียบร้อยแล้วจ้า ---
🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡
Chapter 3 : Watching Avengers "Infinity War" in NZ for the first time 📽
สำหรับตัวมี่เองเนี่ย มี่เป็นคนที่ชอบมาร์เวลมากๆอยู่แล้ว มีเรื่องอะไรมาฉายก็ตามหมดเลย 555 ส่วนตัวชอบ Scarlett Johansson อยู่แล้วด้วย เลยรู้สึกชอบที่มี Black Widow หรือ Natasha Alianovna Romanova (ตามหลักภาษารัสเซียจะลงท้ายนามสกุลผู้หญิงด้วยตัว a ถามว่ารู้ได้ไง อ้าวก็เคยเรียนภาษารัสเซียไง 5555555) อยู่ด้วยนั่นเอง อ่ะ เกริ่นเยอะไปล่ะ.. หนังที่เราได้ดูไปก็คือ "Avengers Infinity War นั่นเองงงง โดยตอนแรก เราชวนนุ่นกับโพเอ้ไปดูด้วยกัน ในวัน ANZAC (ซึ่งเป็น Public Holiday ของที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เพื่อระลึกถึงทหารหลายหมื่นนายที่เสียชีวิตจากสงคราม จริงๆมันควรเป็นวันเศร้า แต่คนที่นี่ก็ใช้ชีวิตปกติกันดีเป็นแค่วันหยุดวันนึง และจะเห็นบางที่ติดประโยคว่า "Lest we forget") ในระบบ IMAX ที่ Event Cinema Queen Street
สำหรับโรงหนังที่เราไปก็คือ.. Event Cinema ค่ะ อาจจะเป็นโรงหนังเดียวที่ใกล้ที่สุดจากเขต CBD ค่ะ
ส่วนหนึ่งที่เรารู้เพราะเราเคยถามคนไทยใน Auckland มา เขาเลยแนะนำที่นี่เพราะอยู่ในเมืองและใกล้กับที่เราเรียนด้วยอะค่ะ และอพาร์ทเมนท์ของ Poe ก็อยู่แถวๆโรงหนังพอดี เขาเลยพาพวกเราเดินมาได้ค่ะ นับว่าโชคดีมาก ไม่งั้นเราคงต้องเปิด GPS เดินเอา 555
โรงหนังที่นี่จะมีส่วนประกอบสำคัญๆ 3 อย่างค่ะ 1)โรงหนัง , 2)ลานโบว์ลิ่ง , 3)สันทนาการต่างๆ เช่น ตีกอล์ฟ ร้องคาราโอเกะ เรารู้ว่ามีตอนที่กลุ่มคนไทยกับญี่ปุ่นพาไปเนี่ยแหละค่ะ
สำหรับที่ซื้อตั๋วหนังมีวิธีซื้อ 2 แบบเหมือนที่ไทยค่ะ คือซื้อกับตู้ (แบบในภาพ) หรือ เดินไปซื้อกับคนขาย แต่ข้อเสียคือตู้ไม่รับเงินสดค่ะ ต้องมีบัตรแบบ M Gen เหมือนของที่ไทยและไม่มีพนักงานคอยยืนรูดบัตรให้แบบที่ไทยค่ะ เลยแนะนำให้ไปซื้อกับคนขายเลยจะดีกว่านะคะ เราเลือกดูเป็นระบบ IMAX ค่ะ ราคาเลยสูงหน่อย มี 2 ราคานะคะ ราคาปกติ (Adult) คือ 24 NZD ประมาณ 520 บาทไทย ส่วนราคานักเรียน (Student) คือ 20.50 NZD ประมาณ 440 บาทค่ะ ถ้ามาเรียนภาษาและมีบัตรนักเรียนใช้ราคา student ได้ค่ะ แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในตั๋วมัน 24 NZD ทั้งที่เราจ่ายแค่ 20.50 NZD เอง (ก็ยังแพงอยู่ดีแหละ ที่รู้สึกว่าแพงเพราะถ้าอยู่เมืองไทย ป๊าเป็นคนออกเงินให้ค่ะ เลยไม่รู้สึกรู้สาอะไร พอจ่ายเองละทำไมแพงจังว้าาาา อิอิ)
ส่วนการเรียงแถวโรงหนังที่ NZ จะเป็นแบบเรียงหน้าสุดเป็น A ท้ายสุดเป็น L (สำหรับโรง IMAX นะคะ) เพราะฉะนั้นก่อนจะซื้อตั๋วถามพนักงานให้ดีค่ะ ดูให้ดีๆด้วยนะคะว่าใช่ที่ๆเราอยากนั่งมั้ย
ส่วนตั๋วหนังจะเป็นกระดาษสลิปง่อยๆแบบภาพที่ 3 .... ไม่มีบัตรกระดาษปริ้นท์ตั๋วแบบที่ไทยหรอกนะ T_T แล้วประเด็นคือเราเป็นพวกสะสมตั๋วหนังไง พอเข้าโรงหนังก็ฉีกบัตรเราไม่มีชิ้นดีเลยยยยยยยย
คือตอนแรกที่เราซื้อตั๋วไว้ เรากะว่าจะไปดูกับ Poe ค่ะ นัดกันไว้อย่างดีเลยค่ะ แต่โชคร้ายตรงที่โฮสต์มัมมาบอกเราตอนหลังจากซื้อตั๋วแล้วว่าเราต้องไปเที่ยว Rotorua กับเขานะ ค่าที่พักเขาออกให้เราค่ะ แต่เขาทิ้งพวกเราไว้ที่บ้านไม่ได้ เพราะเราอายุยังไม่ถึง 18 กัน มันผิดกฎของโรงเรียนค่ะ โฮสต์มัมส่งข้อความมาย้ำเราอีกทีกันพวกเราลืมค่ะ (เขาอยากให้เราไป Rotorua ด้วย และ ไม่ต้องทิ้งเงินเกือบ 500 บาทไปฟรีๆค่ะ) ทำให้มี่กับนุ่นต้องกลับไปที่โรงหนังอีกครั้งเพื่อขอเปลี่ยนตั๋วเป็นวันที่ 5 พ.ค. แทนพร้อมกับโชว์ข้อความที่ทางโฮสต์มัมส่งมาว่าให้ลองคุยกับทางโรงหนังดูเพราะเรามีความจำเป็นต้องไป Rotorua จริงๆ มี่ก็เลยอธิบายเหตุผลไปว่า "วันนั้นซื้อตั๋วมาแล้วโฮสต์มัมเพิ่งบอกว่าต้องไปโรโตรัว เพราะพวกเราอายุไม่ถึง 18 กัน แต่ตอนนั้นเราซื้อตั๋วไปก่อนและเพิ่งมารู้ตอนหลัง พวกเราจึงขอเปลี่ยนตั๋วได้มั้ย?" (พร้อมกับโชว์ข้อความให้เขาอ่าน) ซึ่งทางพนักงานโรงหนังก็เข้าใจพวกเราค่ะ เขาเลยคุยกับผู้จัดการให้แล้วผู้จัดการก็เลยช่วยค่ะ เขาให้ตั๋วแบบ IMAX แบบภาพข้างล่างมา เพื่อที่จะรอวันที่ 1 พ.ค. ตารางเวลาของช่วงเดือนพ.ค.ถึงจะออกค่ะ
ปล. แต่ถ้าเลี่ยงสถานการณ์นี้ได้ก็เลี่ยงนะคะ เพราะพนักงานบางคนอาจจะไม่ได้ใจดีแบบที่เราเจอก็ได้ค่ะ ยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยจริงๆ ทางที่ดีควรถามโฮสต์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจค่ะ
พอเราได้ตั๋วแบบนี้มาแล้ว จะหมดอายุวันที่ 8 พ.ค. ค่ะ แต่ยังไงวันที่ 1 พวกเราก็ต้องไปโรงหนังกันอยู่แล้ว
เลยไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน เสียอย่างเดียวคือต้องเดินไกลมากๆแค่นั้นเอง ฮ่าๆ
ได้ใช้ชีวิตที่ Auckland มันก็จะดีหน่อยๆ เราชอบนะคะ อากาศมันกลางๆ มีเย็นบ้างแถวๆบ้านโฮสต์ แต่ไม่ได้ร้อนจนเหงื่อแตกแบบที่ไทยค่ะ บ้านเมืองเขาสวยดีด้วย เป็นระเบียบและสะอาดค่ะ
แถ่นแท๊นนนน ในที่สุดก็จะได้ทำตามแผนกันจริงๆสักทีเนอะ อยากดูมากๆเลย รอไม่ไหวแล้ว !!!
ในที่สุดวันที่จะได้ดู Avengers ก็มาถึงแล้วค่าาา พวกเรามาก่อนเวลากันค่อนข้างนาน เกือบ 2 ชั่วโมงค่ะ แต่เรายังไม่ได้กินข้าวกัน เราเลยมาหาร้านอาหารไทยที่ใต้โรงหนัง มันมีร้านอาหารเยอะมากเป็น food court เลยค่ะ มีอาหารหลายชาติทั้งเกาหลี,ญี่ปุ่น,แขก,อิตาเลียน มีหมดค่ะ เลือกเอาเองได้เลย ส่วนเราเลือกร้านที่ชื่อว่าร้าน Lime Thai ค่ะ (ถ้าหาไม่เจอแนะนำให้ลอง search Google ดู จะเจอ Maps ของร้านค่ะ) เรากับนุ่นสั่งอาหารจานเดียวมากินคนละจานค่ะ ถ้าจำไม่ผิดเราสั่งเป็นข้าวผัดพริกแกงไก่ (Spicy Fried Rice with Chicken)ค่ะ ส่วนราคาจำไม่ผิดอยู่ที่ 11 NZD ค่ะ เราว่าอร่อยใช้ได้เลยนะ เราว่าถ้าชอบเผ็ดสั่งเป็น Thai hot, Extra hot แบบเราก็ได้ค่ะ มันก็ไม่ได้เผ็ดมากขนาดกินไม่ได้ค่ะ กลางๆนะ (หรือเรากินเผ็ด 5555) ดีกว่าเสียเงินไปกินพวก fast food 7-8 NZD อีกค่ะ เพิ่มเงินหน่อยก็กินอะไรที่จับต้องได้ละไม่อันตรายต่อสุขภาพด้วย
พอสั่งอาหารเสร็จเราต้องจ่ายเงินที่แคชเชียร์เลยนะคะ พนักงานเป็นคนไทยค่ะ พูดภาษาไทยได้ค่ะ
พอจ่ายเงินเสร็จ เขาก็จะให้ตัวที่สั่นๆให้ไปเอาอาหารแบบภาพแรกมาค่ะ พอสีแดงขึ้นก็เดินกลับไปรับที่แคชเชียร์อีกรอบ รับมาอาหารร้อนๆเลยค่ะ หอมฉุยเลย
กินเสร็จก็ยังเหลือเวลาอีก 1 ชม.ค่ะ เราเลยไปหาที่ๆมี Wi-Fi ให้เล่น เลยไปลงที่ Burger King ข้างๆโรงหนังค่ะ เราซื้อเฟรนช์ฟรายส์กับ Frozen Berry อะไรสักอย่าง จำได้ว่าเสียเงินไป 2.50 NZD เองค่ะ นั่งแช่ยาวๆเพื่อเล่น Wi-Fi 555555
ได้เวลาก่อนหนังฉายสัก 15 นาที พวกเราก็ขึ้นไปที่โรงหนังค่ะ ถ้าเป็น IMAX ขึ้นไปชั้น 4 ได้เลยน้า
บันไดเลื่อนที่นี่สูงมาก ชันมากด้วย ขึ้นกันก็ระวังๆด้วยนะคะ
พอเข้ามาถึงก็มีพนักงานยืนฉีกตั๋วเหมือนที่ไทยค่ะ (แหม ฉีกซะเยินเลยจ้า) แต่โรงหนังที่นี่ดีมากๆ ไม่มีการโฆษณาใดๆทั้งสิ้น พอเข้ามาถึงก็เข้าที่ตัวเองไปเลยค่ะ (โรงหนังที่นี่ไม่ได้เรียงจากข้างบนสุดเป็น A แบบที่ไทยนะคะ เขาไล่แถวแรกสุดเป็น A ค่ะ ส่วนแถวสุดท้ายคือแถวที่มี่นั่งเป็นแถว L ค่ะ) หน้าจอ IMAX จะมีเปิดไฟสีๆแบบในภาพที่ 2 ค่ะ เบาะเป็นสีดำเรียบๆหรูๆค่ะ ที่นั่งนิ่มมากๆ สบายมาก เอนได้เยอะมากค่ะ แถมมี legroom เยอะด้วย ยืดได้สุดเท้าเลยค่ะ ต่างจากโรง IMAX ที่ไทยคือที่วางขาน้อยมาก แค่คนข้างหน้าเอนมาก็ติดขาเราแล้ว เข้ามาปุ๊ปทุกคนจะเงียบมากๆ ไม่มีเสียงคุยกันเลยค่ะ มีเล่นโทรศัพท์ระหว่างรอ trailer บ้าง
พอถึงเวลาฉาย (showtime) 13.50 ปุ๊ป เขาก็จะฉาย trailer หนังแค่ 2-3 ตัวเท่านั้น จากนั้นก็ฉายหนังเลยค่ะ อ้อ หนังที่นี่ไม่มี subtitle นะคะ ภาษาอังกฤษก็ไม่มีค่ะ เพราะงั้นควรฟังรู้เรื่องระดับนึงค่ะ แล้วเราจะ get พวกมุกตลกหรือ joke ในหนังค่ะ แต่ถ้าใครมาใหม่แล้วฟังไม่รู้เรื่อง ฟังไม่ทันแต่อยากดู ก็ดูได้ค่ะ ถือว่าเสพ CG, Visual Effects, ดารานักแสดงที่เราชอบก็ได้ค่ะ เราไม่ห้ามแล้วกันเนอะ อิอิ
- จบพาร์ทรีวิวการดูหนังครั้งแรกในนิวซีแลนด์แล้วค่ะ -
🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡
Chapter 4 : Transportation in Auckland 🚎 and Vodafone's Sim Card 📲
นั่งพิมพ์ไปก็รู้สึกอยากได้ระบบขนส่งสาธารณะของ Auckland มาใช้ในไทยจริงๆเลย ... เพราะทุกวันนี้มี่ต้องนั่งกลับบ้านด้วย MRT ค่ะ แล้วต่อด้วยรถเมล์อีกทีนึง ซึ่งก็ดีใจนะที่ MRT กำลังจะเพิ่มสถานีเร็วๆนี้ซึ่งจะตรงไปถึงแถวบ้านเลยแค่ขึ้นสถานีแล้วเดินต่อประมาณ 15 นาทีก็ถึงบ้านแล้ว ทำให้เราไม่ต้องยืนรอรถเมล์ขาแข็งทุกวัน แถมต้องลุ้นอีกว่าคนบนรถเยอะมั้ย 5555 แต่ทำไงได้อ่ะ ค่ารถเมล์บ้านเรามันถูกไง แค่ 9 บาท (รถพัดลม)และ 13 บาทสำหรับรถแอร์ เอาล่ะ บ่นมาเยอะละ เริ่มเลยนะ!!!
ระบบขนส่งภายในอ๊อคแลนด์จะมี 3 อย่างหลักๆก็คือ รถบัสประจำทาง, เรือเฟอร์รี่ และรถไฟบนดินค่ะ
ความสำคัญของบัตร HOP ก็คือมันทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น ไม่ต้องวุ่นวายพกบัตรหลายใบแบบที่ไทยที่แยกยิบย่อยเยอะแยะมากมายก่ายกองนั่นเอง แถมค่าโดยสารถูกลงด้วยนะ
* ราคาที่เราเขียนนั้นเป็นราคา 2 zones นะคะ (เช็คเพิ่มเติม ที่นี่)
เราเป็นเด็กอายุ 16 ในตอนนั้นเราก็เสียราคา 3.30 NZD (71 บาท) ค่ะ แต่ตอนนี้ราคามีการปรับขึ้นเป็น 3.45 NZD (75 บาท) เรียบร้อยจ้า
ณ ตอนนั้นที่นุ่นไปกับเรา นุ่นอายุ 13 ปีเท่านั้นค่ะ นุ่นเสียราคา 1.99 NZD (43 บาท) และราคาพิเศษ 1.49 (32 บาท) ในวันอาทิตย์ค่ะ เคยเข้าเมืองวันเสาร์ด้วยกันยังคิด 1.99 NZD อยู่น้าา แต่ตอนนี้ราคาปรับเป็น 2.05 NZD (44 บาท) แล้ว
ตอนที่เราไป เราเคยถามกาตารีน่า (เพื่อนชาวโคลัมเบีย) ของเราค่ะว่าเรทราคา student prices มันอยู่ที่เท่าไหร่ เขาบอกว่าของเขา 2.49 NZD (54 บาท) ซึ่งบ้านเขาคงห่าง 2 zones แบบเรา และปัจจุบันราคาปรับขึ้นเป็น 2.60 NZD (56 บาท) แล้วนะคะ
สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ไม่ซับซ้อน
-สำหรับคนที่ลงเรียนภาษาในอ๊อคแลนด์มากกว่า 16 สัปดาห์ขึ้นไปจะขอให้ทางโรงเรียนเปลี่ยนบัตรเป็นราคา Student ได้ ซึ่งจะอยู่ที่ 2.60 NZD (56 บาท) ต่อครั้งนั่นเอง แต่ถ้าใครมาต่ำกว่า 16 สัปดาห์ยังต้องเสียเงิน 3.45 NZD (74 บาท) เหมือนเดิมนะคะ
- เด็กๆหรือน้องๆที่อายุตั้งแต่ 5-15 ปีจะได้คิดในราคาเด็กคือ 2.05 NZD (44 บาท)
สำหรับการใช้วิธีการวางแผนการเดินทางในอ๊อคแลนด์ ซึ่งเปรียบเหมือน Google Maps แต่ดีกว่า ละเอียดกว่า บอกค่าใช้จ่ายละเอียดกว่า และไม่ยุ่งยากแถมแม่นยำ อันนี้เป็นวิธีที่โสต์มัมสอนเรามาค่ะ
ให้ไปที่เว็บไซต์ของ AT (คลิกที่นี่) ไว้เพื่อเลือก Journey Planner นะคะ หรือถ้าต้องใช้บ่อยก็โหลดเป็นแอพพลิเคชั่น AT Mobile โลดจ้า ส่วนคนไหนยัง งงๆ ใช้ไม่เป็นอ้ะ ไป ที่นี่ นาจาาา และค่าใช้จ่ายหรือส่วนลดให้ไปที่นี่ (แบบว่า... ข้อมูลละเอียดมาก หากมีคำถามใดเพิ่มเติมโปรดติดต่อเจ้าหน้าที่จ้า)
ก่อนอื่นสำหรับการซื้อบัตร AT Hop นั้น ตัวเราเองไปซื้อที่ Pak n'save ค่ะ โดยโฮสต์มัมพาพวกเราไปและซื้อให้เราเลย จะมีค่ามัดจำบัตรที่ 10 NZD และมีเงินในบัตร 10 NZD รวมเป็น 20 NZD ค่ะ
เมื่อซื้อเสร็จแล้วให้ register บัตรโดยด่วนนะคะ มันมีประโยชน์มากๆค่ะ ทั้ง...
1) เช็คจำนวนเงินที่เหลืออยู่ในบัตรได้ (Card Balance) แบบภาพที่ 2
2) เติมเงินออนไลน์ผ่านบัตรเครดิตได้ (แต่เราไม่ได้เติมผ่านบัตรนะคะ เราใช้เงินสดเติมที่ Britomart ค่ะ)
3) เมื่อบัตรหาย เราสามารถไปแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ที่ Britomart แต่ เสียค่าธรรมเนียมบัตรใหม่อีก 10 NZD ค่ะ แล้วก็เอาอีเมลล์กับรหัสผ่านให้เจ้าหน้าที่เพื่อย้ายจำนวนเงินคงเหลือในบัตรไปยังบัตรใหม่ค่ะ
4) เมื่อมีบัตร HOP แล้วชีวิตสะดวกสบายค่ะ ใช้ได้กับทุกระบบขนส่งสาธารณะในอ๊อคแลนด์เลยนะ
5) เสียค่าเดินทางในราคาที่ถูกกว่า ถ้าใช้บัตร HOP จะ 3.45 NZD (74 บาท) แต่ถ้าใช้เงินสดจะเสียแพงมากเป็น 5.50 NZD (119 บาท)
พอเรากดเข้าไปที่เว็บไซต์ก็จะเป็นแบบภาพแรกค่ะ ภาพที่ 2 เป็นการเช็ค Card Balance หรือจำนวนคงเหลือในบัตรนะคะ แนะนำว่าวันไหนที่ในบัตรเหลือเงินพอดีเป๊ะแบบที่ว่ากลับวันนี้ได้ แต่มาพรุ่งนี้ไม่ได้แน่... ให้รีบไปที่ Britomart เพื่อไปเติมเงินนะคะ เราต้องใช้ชีวิตเผื่ออนาคตค่ะ 55555 ท่องไว้ค่ะตั้ง2.20 NZD (47 บาท) เราเอาไปเพิ่มเงินหน่อยซื้อไอติม New Zealand Natural กินได้เลยน้าาา
เมื่อเราเข้าไปที่ Journey Planner แบบภาพแรกปุ๊ป มันก็จะมีหน้าต่างให้เราใส่โลเคชั่นแบบภาพ 2 ค่ะ A คือ เลือกจากสถานที่ตั้งปัจจุบัน และ B คือ เลือกสถานที่ที่เราต้องการจะไปนะคะ อย่างในภาพของเราก็คือจากบ้านโฮสต์ไปยัง NZLC ค่ะ สำหรับคนที่จะไป NZLC ให้ใส่ไปว่า "104 Customs Street West, Auckland" เพียงใส่ไปเท่านี้ก็จะมีขึ้นมาให้แตะได้เลยค่ะ ช่องถัดมาเป็นช่องให้เลือกว่า Arrive Before (ถึงก่อนกี่โมง) หรือ Leave After (ถึงหลังจากกี่โมง) และกด Search ค่ะ มันก็จะขึ้นมาแบบภาพที่ 4 บอกเวลาที่รถจะออก หมายเลขรถบัส เวลาในการเดินทาง และราคาค่าโดยสารค่ะ ง่ายๆมากๆเลยค่ะ 😘
ปล. ระวังนาจาาาา 12.00 A.M. คือ เที่ยงคืน และ 12.00 P.M. คือเที่ยงวันเด้อออ
คนไหนดวงดีย์ได้อยู่เขต Glenfield แบบดิชั้ล หรือบ้านเดียวกับโฮสต์ชั้ล นั่ง 955 หรือ 958 ไปเล๊ยยยย
เพราะถ้าเลือกแบบบที่ต่อรถมันจะเสียเงิน 2 รอบและเสียเวลาต่อรถด้วย
รถบัสในนิวซีแลนด์จะมี 2 แบบนะเป็นแบบ 2 ชั้น (เหมือนรถทัวร์เวลาไปทัศนศึกษา) กับแบบชั้นเดียว (เหมือนรถเมล์บ้านเรา) ซึ่งทั้ง 2 แบบราคาเท่ากันนะ ขึ้นไปเลยไม่ต้องห่วง
1) แบบ 2 ชั้น : จะจุคนได้เยอะกว่า ที่นั่งเยอะกว่า จะเป็นที่นั่งแบบเบาะใครเบาะมัน ถ้าอยากนั่งแบบส่วนตัว 2 คนให้รีบขึ้นไปนั่งข้างบน แต่ถ้ามาเป็นกลุ่มเยอะๆ 4 คน 8 คนอะไรงี้ให้นั่งข้างล่างจะเป็นแบบนั่งหันหน้าเข้าหากันแบบในภาพที่ 1 แบบ 2 ชั้นจะมีแอร์ตลอด
2) แบบชั้นเดียว : ก็แบบรถเมล์เล็กบ้านเราอ่ะ (ความจริงก็ไม่เล็กนะ) จะแบ่งเป็น 1-1 คือฝั่งซ้ายกับขวาอะแหละแต่ที่นั่งนึงจะนั่งได้ 2 คน ส่วนแบบนี้จะไม่มีแอร์ (คือก็มีแหละ) แต่เขาไม่ค่อยเปิดเพราะเปิดช่องระบายอากาศข้างบนแทนเหมือนในภาพที่ 2 ให้อากาศเย็นๆข้างนอกมันเข้ามาในรถ
คือของที่เราขึ้นมันต้นๆสถานีอ่ะ เลยทำให้มีที่นั่งได้นั่งตลอดทั้งขาไปและขากลับ มีแค่วันเดียวที่อยู่ๆรถมันเต็มแต่เราไม่มีทางเลือกเพราะถ้ารออีกคันนึงมันจะสาย เราจะไปเรียนไม่ทัน เราเลยได้ยืนแทนก็โอเคนะ รถบัสที่นี่ไม่เหวี่ยงแบบรถเมล์ที่ไทย เขาปิดประตูตลอดด้วย ไม่จอดนอกป้ายนะไม่ทันคือไม่ทันเลย ไม่เหมือนรถเมล์ส้มอ่ะยืนทีนึกว่าจะปลิวออกไปนอกรถละ 5555
ธรรมเนียมของที่นิวคือเวลาขึ้นรถมา จะเอาบัตรไปแตะตรงที่แตะบัตรข้างคนขับเพื่อเช็คยอดเงิน (ไม่เคยเห็นคนไม่แตะนะ) พร้อมกับทักทายคนขับตามช่วงเวลาของวันว่า "Hi, Hello, Good Morning, Good Afternoon, Good Evening" จากนั้นคนขับก็จะตอบการทักทายเรากลับมาเหมือนกัน ส่วนใครที่บัตรเงินหมดต้องจ่ายเงินสดให้คนขับตอนขึ้นเลย และจะแตะบัตรจ่ายเงินตอนลงที่สถานีปลายทางของเราพร้อมกับกล่าวว่า "Thank You! หรือ Goodbye, Bye" เราว่าก็เป็นธรรมเนียมน่ารักๆดีเหมือนกัน
ภาพประจำที่เห็นทุกวันที่เข้าเมืองก็คือตอนที่ขึ้นสะพานข้ามอ่าว (มันเรียกอะไรอ่ะ อ่าว ทะเลหรืออะไร แต่ไม่ใช่แม่น้ำแน่นอน 5555) ก็คือเมือง Auckland ที่เป็นเกาะยื่นออกมาฝั่งซ้ายมือ
นี่ก็อีกภาพนึงที่เห็นทุกวัน เป็นภาพที่อยากเห็นทุกวันเลยล่ะ เวลาขึ้นรถที่นี่ไม่ค่อยเล่นโทรศัพท์ จะฟังเพลงแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างมากกว่า ภาพมันตราตรึงใจมากๆ เราชอบอ่ะ
เห็นภาพแล้วคิดถึง Auckland City จังเลย 🇳🇿
ตอนที่กลับบ้าน เราจะต้องผ่าน Birkenhead แล้วตรงนั้นจะมีห้างที่มีลานไอซ์สเก็ตตรง Highbury
นี่ก็บรรยากาศโดยรอบเวลากลับบ้านเหมือนกัน ผ่านสุสานทุกวันเลย แต่สุสานที่นี่ไม่น่ากลัวนะ
ภาพบนเป็นตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ท้องฟ้าสวยนะในสายตาเรา
ภาพกลางเป็นตอนที่รถกำลังวนเพื่อกลับบ้าน เราชอบสีน้ำข้างล่างมาก เลยถ่ายเก็บไว้
ภาพล่างเป็นตอนที่ลงจากรถแล้วเดินกลับบ้าน เราก็ชอบเหมือนกัน
สำหรับคนไหนที่บ้านโฮสต์อยู่ใกล้ๆท่าเรือก็นั่งเรือเฟอร์รี่ไปได้น้าา
เจ้าของภาพข้างล่างคือเพื่อนคนไทยที่ NZLC ก็คือจิวนั่นเอง เราขอให้ถ่ายรูปมาเพราะจะเอามาลงบล็อกเนี่ยแหละ อิอิ แบบตอนแรกที่เราได้ยินว่ามันนั่งเรือเฟอร์รี่ได้นี่คือขำมากอ่ะบอกเลย 5555
ส่วนภาพบนนั่นเป็น Ferry Building สำหรับขึ้นเรือเฟอร์รี่จ้า
(เราถ่ายเองด้วยกล้อง Olympus PEN E-PL 8)
---------------
มาต่อกันที่เรื่องการใช้ซิมการ์ด Vodafone NZ นะคะ
สำหรับคนไทยที่มาเรียนภาษาในนิวแล้วอยากโทรกลับไทย เราแนะนำเป็นแบบเติมเงิน (Travel Sim) สำหรับข้อมูลแพลนต่างๆไปที่นี่ ส่วนตัวซิมที่เราได้มา เราได้มาจาก Emma คนที่ดูแลเด็ก YL ค่ะ เขาให้เรามาทั้งมี่และนุ่นเลย ทำให้เราไม่ต้องไปเสียเงินซื้อซิมเองค่ะ แต่ว่าเปลี่ยนซิมแล้วไปซื้อสลิปมาเติมเงินที่ Minimart หรือ Supermarket ได้เลยจ้า
ถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มให้ไปที่เว็บ Vodafone NZ ตามลิงก์ที่แนบให้ได้เลยจ้า
Travel Sim มันจำกัดตรงที่ซิม 29 NZD ใช้ได้แค่ 30 วันและ 49 หรือ 99 NZD ใช้ได้แค่ 60 วันเท่านั้น
ถ้าใครอยากเช็คนาทีที่สามารถโทร, อินเตอร์เน็ต, จำนวนข้อความที่ส่งได้ที่เหลือ ให้ log-in เข้าเว็บแล้วเช็คโดยตรงได้เลยจ้า แต่อย่าเช็คบ่อยมากๆแบบเราจนระแวงไม่กล้าใช้เยอะแล้วสุดท้ายก็เหลือกลับไทยฟรีๆอีก 1 GB 5555 เพราะที่ NZLC จะมี Wi-Fi ให้ใช้อยู่แล้วแต่ข้อเสียคือส่งข้อความไป แต่ส่งรูปภาพไม่ได้ ทำให้เวลาจะส่งรูปต้องสลับมาใช้อินเตอร์เน็ตโทรศัพท์แทนแน่นอน
สำหรับในรูปข้างบนก็จะมี : ชื่อซิมหรือแพลนที่เราใช้, เบอร์โทรของเรา, จำนวนวันที่เหลือที่ใช้ได้, จำนวนเงินคงเหลือในซิม, และจำนวนนาทีหรืออะไรที่เหลือที่เราเขียนไว้แล้วข้างบนจ้า
- จบพาร์ทระบบขนส่งและซิมการ์ดแล้วน้าาา -
🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡🧡
สำหรับใครที่มีคำถามหรือต้องการคำแนะนำต่างๆ สามารถติดต่อได้ที่ Facebook Page : Askmiemasi หรืออีเมล์ askmiemimimi@gmail.com ได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจค่ะ มี่ยินดีตอบแต่อาจจะช้าหน่อย ไม่โกรธกันนะคะ 😍
Comments