top of page
  • Writer's picturemie dyasha wong🍦

Mie's life & her studies at MUIC Media Com (รีวิวการเรียนนิเทศอินเตอร์ที่ MUIC) - part 1 💜

Updated: Apr 9, 2023

สวัสดีค่าาาา 🙏


หลังจากที่มี่เองหายไปสักพักใหญ่ ๆ เพราะว่าเรียนเยอะมากกกกกกก ไม่จ้อจี้ มี่ก็ได้ฤกษ์กลับมาอัพบล็อคใหม่สักที อิอิ ถึงแม้จะยังไม่จบ trimester 3 (หรือปี 2 เทอม 2) แบบ majors อื่นก็ตามเพราะว่า tri นี้ media com มี extended studio class เนื่องจากครึ่งเทอมแรกโดนเรียนออนไลน์กัน 6 วีคนั่นเองจ้า 💕

The cover image created by Mie 😃

รอบนี้ตั้งใจจะกลับมารีวิวเรื่องการลงทะเบียนเรียนของ MUIC หรือมหิดลอินเตอร์ผ่านระบบ MUIC Sky กัน หรือที่เด็ก ๆ จะเรียกกันว่า Sky War เพื่อลงทะเบียนเรียนกันค่ะและก็รีวิววิชาเรียนต่าง ๆ ของ media com ด้วยค่ะ เผื่อมีน้อง ๆ สนใจอยากเข้ามาเรียน major นี้กันค่ะ 😉

(หลอกขาย major ตัวเองแหละ ดูออก เอ๊ะ หรือหลอกน้องมาฆ่ากันแน่ 555 จะเข้า MUIC สาขาไหนก็งานเยอะทุก major ค่ะ และมี 3 เทอมจากที่จะประสาทตอน midterm และ final ปีละ 4 ครั้งแบบระบบ semester แบบของชาวบ้าน กลายเป็นประสาทปีละ 6 ครั้งเพราะระบบ trimester ค่ะ 5555555 🤣เหมือนขำแต่เอาจริงคือ black comedy ชัด ๆ 🌚)

- สำหรับน้อง ๆ ที่สนใจอยากจะเข้าที่นี่และอยากสมัครเรียนเข้ามาที่ MUIC หรือมหิดลอินเตอร์ สามารถอ่านได้ที่: บล็อคนี้ (คลิกไปเลยจ้าาา) 😇
- สำหรับน้อง ๆ ที่กำลังเตรียมตัวสอบ IELTS เพราะพี่เองสอบได้ overall 6.5 แต่ตาย writing 5.5 ละสอบข้อเขียนม.เข้ามาเรียน IC เลยจ้า: อ่าน บล็อคนี้ เด้อ 😀
- 25 facts เกี่ยวกับ IELTS และรีวิวจากเพื่อนที่ได้ IELTS 6.5 & 7: อ่านที่นี่ 🏴󠁧󠁢󠁥󠁮󠁧󠁿
- สำหรับน้อง ๆ ที่จะใช้ Duolingo เข้า PC direct track หรือ IC และสอบ Writing ของม.เพิ่ม (ประสบการณ์จากพี่มี่ที่สอบเทสต์แรกตอน 2018 ได้ 63 คะแนนหรือเทียบเท่า 115 คะแนน): ไปนี่ จ้า 🇺🇸
- ใครอยากอ่านสมัครเรียนต่อป.ตรีสาขา Screen Production ที่ Macquarie University (Australia) 🇦🇺 และ Victoria University of Wellington (New Zealand) Film & Theatre 🇳🇿 ไปอ่านขำ ๆ กันได้: ที่ บล็อคนี้ นะจ๊ะเด็ก ๆ 🤟

นี่เป็นภาพจากอาคารอทิตยาทร วิทยาลัยนานาชาติ เป็นตึกหลักที่ใช้สำหรับการเรียนการสอนของ MUIC จ้า Cr. โดยเราเอง (Mie) 😊


ก็คือขอเกริ่นก่อน เผื่อมีท่านผู้อ่านหน้าใหม่เพิ่งหาบล็อคของมี่เจอเนอะ... ก็คือจริง ๆ มี่เรียน media com muic จริง ๆ คือต้องจบเป็นปี 1 กำลังจะขึ้นปี 2 แหละแต่ด้วยความที่อาจารย์เขาเปลี่ยนหลักสูตรใหม่ 63 onwards

- ทำให้เด็ก 628 เทอม 3 แบบมี่และผองเพื่อนต้องตามเก็บวิชาเยอะมากเพราะเราเรียนเป็น old curriculum ก็คือเทอมแรกเรียนวิชาปี 1 หมดละ summer เก็บวิชาที่เปิดเป็นรอบสุดท้ายกะเด็ก 628 เทอม 2 ด้วย ก็คือเรียนกันแบบ non-stop กันเลย

- จนตอนนี้คือตาม study plan มี่ก็คือเด็กปี 2 เทอม 2 ที่กำลังจะขึ้นเทอม 3 แล้ว

- เก็บเครดิตนรกกันแบบ 20 เครดิตต่อเทอม เรียนกัน 5 วิชาและเป็น core subjects ของ media com หมดแล้วค่อยตามเก็บ general education (เรียกสั้น ๆ gen ed หรือ "เจ็น-เอ็ด") ตอนปี 3-4 พร้อมทำ thesis project กันก่อนจบนั่นเองจ้า

เพราะที่ MUIC เราสามารถจบได้ใน 3.5 ปีเลย (ประมาณ 11 เทอมนะ) IRGA จะเป็นสาขาที่ทำได้เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับ 17 สาขาในคณะวิทยาลัยนานาชาติ ละสาขากะรุ่นเราคืออัดเรียนเต็มสูบด้วยความที่เข้าเทอม 3 ด้วย เรียนเทอมละ 20 หน่วยกิต ในขณะที่เด็กที่เข้าเทอม 1 รุ่น 63 จะเรียนแค่ 16 หน่วยกิตเท่านั้นก็เลยกลายเป็นว่ามี่เรียน ทั้งหมดตาม study plan เพียง 10 เทอม (trimester ทั้งหมด 4 ปีมี 12 เทอมไง) หรือ 3 ปี 1 เทอมก็จบได้เลย (ถ้าไม่เอา minor) แต่ตอนนี้มี่แพลนจะ minor ฝรั่งเศสแล้ว ขอจารย์สอบได้ Pre-Intermediate I ต้องเรียนทั้งหมดตั้งแต่ Pre-Intermediate I, II, III ในรายวิชา Humanities ละถึงจะเข้า minor อีก 5 วิชาแล้วจบได้ French minor เลย คือแพลน minor จะได้ extended terms มาอีก 2 เทอมนะ แต่ใครเก็บเร็วกว่านี้ได้ ก็จงทำ 555555

ปล. media com ที่นี่มีบังคับฝึกงาน 3 เดือน ตอนปี 3 เทอม 3 นะจ๊ะ หลักสูตรของรุ่นเราได้ 12 credits แต่ของรุ่นน้องน่าจะ 8 credits ถ้าเราจำไม่ผิดนะ

 

☣️ ขอเริ่มกันที่การลงทะเบียนเรียนผ่าน SKY (war) ของ MUIC นะ 🌃

ตารางลงเวลาลงทะเบียนจ้า 😗

ดูจากตารางจะเก็ทเลยว่าเทอม 3 เหมือนไม่ใช่ลูกป๊า (หนูไม่ใช่ลูกป๊าหรอ! 😡)

เพราะได้ลงท้ายทั้งเทอม 1-2 ทั้งที่จ่ายค่าเทอมเท่ากันอะ เป็นไปได้อยากให้ MUIC ปรับตรงนี้มาก

เพราะมันไม่แฟร์กับเด็กเทอม 3 เลยสักนิด แค่ 2 ชม.ก็มีค่ามากอะ เปลี่ยนชีวิตเราตลอด 3 เดือนได้

 

นี่เราถึงกะต้องไปนั่งขุดหารูปมาเลยนะคือเก่าอยู่ ปีนึงละ 5555 ไหนจะนั่งระลึกชาติอีกเพราะในหัวคือมีข้อมูลอื่นต้องจำเยอะมาก อาจจะหลงลืมอะไรไปบางอันบ้างอะนะ โปรดให้อภัยมี่ด้วยนะ 😂

คือมีน้อง ๆ ชอบมาถามเรื่องการลงทะเบียนเรียน ก็เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้น้อง ๆ อ่านกันนั่นแหละจ้า 😉


น้อง ๆ ที่เข้ามาใหม่เลย เราแนะนำให้น้องคอยเช็คอีเมลที่น้องให้ทางมหาลัยไปก่อน ในนั้นจะมีข้อมูลต่าง ๆ ที่จะบอกวันที่ที่สำคัญและสิ่งที่น้อง ๆ ต้องทำ เพื่อให้รู้เรื่องก่อนก็คือ

1. เช็คเมลของตัวเองให้ดี เช็คให้สม่ำเสมอโดยเฉพาะเมลที่มาจาก MUIC ถ้ากลัวพลาดให้คอยถามเพื่อนที่น้องเจอและรู้แล้วว่าเข้าสาขาเดียวกัน และเทอมเดียวกันอะ เพื่อ make sure ว่าน้องเข้าใจถูก แต่ไม่ต้องถึงขนาด panic กะ anxious อะไรขนาดนั้นนะ เอาให้มันพอประมาณ

2. เข้าร่วมการปฐมนิเทศ (orientation day) ของคณะ* อันนี้สำคัญมาก เพราะจะมีอาจารย์มาแนะนำการลงทะเบียนเรียน (ของเราเป็นอาจารย์ติติ คนนี้ภาษาอังกฤษฟังง่ายมาก สำเนียง neutral เพราะจารย์เป็นคนอินโดนีเซียแต่เรียนต่อที่ออสเตรเลียมา) รวมถึงอาจารย์ advisor เราหรือสาขา (division) ของสาขาที่น้องเลือกเรียนมาบอกว่าน้องต้องลงอะไร ลง gen ed ล้วนก่อนเลยไหมหรือลง core ด้วย

*เกร็ดความรู้วเพิ่มเติม: (คือเลาว์ก็เคยเรียกสาขาเราเป็นคณะ แต่ตอนหลังถึงรู้ว่ามันผิด 5555 เลยอยากให้น้อง ๆ เรียกกันให้ชิน จะได้ถูกเน่ออออ ไม่ได้มีเจตนาอะไรน้าค้าบบบบบ 😗) "คณะนี่คือคณะวิทยาลัยนานาชาติ ส่วนสาขาคือ major ที่น้องเรียน" น้า (ที่นี่ไม่มีคณะนิเทศศาสตร์นะคะ) มีแต่ "คณะวิทยาลัยนานาชาติ สาขาสื่อและการสื่อสาร" เด้อ อยากให้น้อง ๆ ทำความเข้าใจกันให้ถูกต้องก่อนน้า เวลาไปบอกใคร... ให้บอกคณะก่อนและค่อยต่อด้วยสาขา ไม่ใช่เอาสาขามาเป็นคณะน้าาา เด็กกกก ๆ

คือของเราอะ มันปฐมนิเทศออนไลน์เว้ยแก ก็คือปฐมนิเทศกันผ่าน webex อะ 5555 ตอนเช้าเป็นสิ่งที่ทุกสาขาต้องมานั่งดูด้วยกันก่อน จารย์ติติจะเป็นคนอธิบาย แล้วตอนบ่ายค่อยแยกไปตาม major ของเราว่าสาขาไหนมาก่อนมาหลัง ถ้าจำไม่ผิดของ FAA (media com & comde) คือมาเกือบสุดท้ายเลยตอนบ่าย 3 กว่า ๆ

นี่คือตัวอย่าง slides จากการปฐมนิเทศ ซึ่งอาจารย์ติติจะแจกไฟล์ให้อยู่แล้ว แนะนำให้โหลดเก็บไว้นะ

- จารย์จะแนะนำ curriculum structure ของทุกสาขาเลย แต่จะเป็นแบบ basic ซะมากกว่า แต่เข้าใจง่ายอยู่ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย

- academic calendar หรืออะไรต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ current students อาจารย์จะแนะนำเว็บนี้ไว้ก่อน คือมันครบมาก ๆ ใครอยากไปเซิร์ฟ ๆ ทำความเข้าใจเล่น ๆ กะระบบ (แต่เดี๋ยวจะเข้าใจจริงจัง) ให้คลิกไปอ่านเล่นกันเลย เป็นประโยชน์กับตัวน้องเองด้วย

- ของเราตอนนั้น ปฐมเสร็จคืออาจารย์แจ้งว่าพวกเราต้องไปถ่ายรูปเพื่อทำบัตรนักศึกษาเอาเอง ก็คือมี่ซื้อชุดนักศึกษากับเข็มขัดและ pin ไปตอนเทอม 1 ช่วง August 2019 ที่ติด MUIC ครั้งแรก (แต่สละสิทธิ์กลับไปเรียนม.6 ให้จบ) เลยเก็บชุดที่ซื้อไว้ตอนนั้นเลย ตอนไปถ่ายรูปก็คือส่งตัวไซส์ภาพที่ทางม.กำหนดให้กับทางร้านถ่ายภาพ (เราไปถ่ายรูปที่ร้านจักรวาล) เป็นพื้นสีฟ้าแล้วขอเป็น digital file มาเพื่ออัพโหลดลงไปใน sea เลยคับ

- sea เป็นญาติกันกับ sky โดยที่ sea คือระบบที่ให้เด็กเข้าใหม่ใช้ก่อน ก่อนที่จะได้ username และรหัสเพื่อเข้า sky, ระบบออนไลน์ของ MU รวมถึงตระกูล Google และ Microsoft ด้วย

- หลังจากอัพไฟล์ลง sea แล้ว อาทิตย์ถัดมาตัวระบบ sea จะค่อย ๆ แจ้งข้อมูล username และวิธีการตั้งรหัสเข้าระบบของ MUIC และ MU ด้วย ทั้งของ sky, ตระกูล microsoft และ google เลย ให้ทำตามที่ระบบบอกเป็นขั้นเป็นตอนไป

หน้าตาของ forced tracks English & Math ที่จะแจ้งมาในระบบ sea

อันนี้คือ forced English track และ Math ของเพื่อนเรา

เพราะเราหาของเราไม่เจอแล้ว แต่ของเราตัว English จะเป็น ERS หรือ English Resources Skills เมื่อเราผ่าน ERS เราถึงเรียน EC 1 (เดี๋ยวจะมีรีวิววิชานี้) ส่วน math ด้วยความที่ major เราไม่ได้เน้น math มาก math เลยไปอยู่ในหมวดวิชา scienece และบังคับเรียนแค่ตัวนี้คือ basic mathematics แค่ตัวเดียว


หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากเกี่ยวกับตัว sea แล้วเพราะเราจะย้ายมาใช้ sky กันตั้งแต่ลงทะเบียนเรียน (registration), ลุ้นผลสอบ (student record) ยัน volunteer and club เลยจ้า

Schedule แนะนำนักศึกษาใหม่รุ่น 628 batch 3

การลงทะเบียนเรียนของ MUIC จะเป็นแบบนี้ คือต่อให้ทั้งคณะมี 4,000 กว่าคนละแบ่งกันลงเป็นแต่ละเทอมของในรุ่นนั้นอีกที มันก็ล่มจ้าาาาา ล่มเก่งมากด้วย สิ่งนี้ที่เราต้องแย่งกันลงทะเบียนเรียน เราเรียกมันว่า "sky war" การที่จะเสียน้ำตากับการลงทะเบียนเรียนนั้น... ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย!! เราก็เป็นหนึ่งในนั้น 55555 และต้องนั่งประสาทกับการเปลี่ยนแพลนและลงทะเบียนเรียนทุกเทอมเลยด้วย เพราะฉะนั้นจงชินชากับมันเสียเถอะ 😂 (น้ำตาซ่อนอยู่ในทุกความเศร้าและประสาทในการลงทะเบียนเรียน//sadly twerking คือติดมาจากเพลง déjà vu 555)

บางคนบอกกับเราว่า "it's not the end of the world."

Me: "IT IS! what if the only section left is on Saturdays?!? HOW AM I SUPPOSED TO GO TO THE CAMPUS?!" เพราะเรากำลังเรียนขับรถอยู่ ไม่สามารถไปเองได้แน่นอน เพราะปกติเวลาเราไปเรียนเราใช้ salaya link จาก BTS/MRT บางหว้าและต่อรถม.ไปเรียนที่ศาลายา และ salaya link มันไม่เปิดวันเสาร์และอาทิตย์จ้าาาาา

หน้าตาของ schedule ที่อาจารย์จะให้มาเพื่อเลือกเซคและลงทะเบียนเรียน

ของสาขาเราแบบในภาพคืออันไหนที่อาจารย์พิมพ์ส่งไฟล์มาก็คือให้ลงวิชานั้น เซคนั้นและส่วนที่เหลือให้เอาไปลง EC (English Communication) ที่จะมีตั้งแต่เลเวล 1-3 ส่วนของเราเข้ามาเทอมแรกเราเรียน ERS หรือ English Resources Skills ก่อนแล้วค่อยขยับไปเรียน EC 1-3

 
หน้าตาของระบบ sky ที่ count down registration กับ add/drop ให้เรา

⚠️ คำแนะนำในการลงทะเบียนเรียนหรือ sky war:

1. ตื่นมาก่อนลงทะเบียนให้ทัน: ในระบบ sky ก่อนวันลงประมาณ 2-3 อาทิตย์จะมีการ count down วันที่เราต้องลงทะเบียนและเวลาสำหรับรหัสนักศึกษาเราไว้ให้เลย อย่างของเราตามในภาพจะเป็น 23 April ตอน 8.00 ให้ตั้งนาฬิกาปลุกก่อนเวลาที่เปิดให้ลงทะเบียนประมาณ 10-20 นาที เช่น ถ้าลงทะเบียน 8.00 ตื่น 7.40 อาจทำอย่างอื่นสักพักนึงแล้วค่อยมาสแตนด์บายลงทะเบียนเรียนเอา ทำใจให้ดี ๆ เพราะตอนลงเรารู้สึกเครียดจนแบบท้องไส้ปั่นป่วนหมดเลย เหมือนแบบ i'm about to feel like throwing up 😓

2. ตั้งสติให้ดี ๆ: เพราะพอระบบ count down จนหมดแล้ว มันจะบังคับเรา refresh โดยอัตโนมัติ จากนั้นระบบมันจะล่มไปโดยปริยาย... ต้องบวกเวลาเพิ่มอีกประมาณ 5-10 นาที แต่มันก็จะ error เป็นระยะ ๆ คือจะลงไม่ได้ก็คืออาจจะโดนบวกเพิ่มไปอีก 15-30 นาทีแล้วแต่ความซวย,โชคหรือบุญของแต่ละคน 5555 (เรามันประเภทซวยมาก ก็คือโดนเด้งไป 25 นาทีเลยอะรอบที่แล้ว) แต่ถ้าใครฝ่าตรงนี้ไปได้ก็อาจจะสามารถลงทะเบียนได้เลย แต่ถ้าไม่ ก็คือ mental breakdown ต่อไป 55555

3. ก่อนวันลงจริง ควรจัดลำดับการลงไปเลยว่าจะลงวิชาไหน 1-5: อันไหนคาดว่าเต็มเร็วให้ลงก่อน โดยอิงจาก capacity (seats) แล้วลงทะเบียน (enrol) ตามนั้น และควรมีแผนสำรองว่าถ้าวิชานี้เต็มแล้วจะลงเซคไหน หรือวิชาไหนแทน หรือจะสลับ section ของวิชานั้นกับวิชานี้แทน อะไรแบบนั้น

*ถ้าลงทะเบียนพร้อมกับเพื่อนแล้วไม่ทัน: แนะนำให้หาทาง figure it out กันเองว่าจะทำยังไงดีโดยเตรียมแผน 2 และ 3 เผื่อไว้โดยอิงจาก capacity และการสลับตารางเวลาของตัวเอง แนะนำให้หา best solutions ที่ work out กันทั้ง 2 ฝ่ายนะ ถ้าคิดจะไปด้วยกันจริง ๆ ห้ามมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกด send to advisor เด็ดขาด เพราะต่อให้มาแก้กันตอน add/drop section ที่เพื่อนคนที่ส่งก่อนได้ไปอาจจะเต็มแล้ว ทำให้ต้องแยกกันนะ เพราะบางที add/drop มี seat เหลือแค่ 1 ที่ก็มีหรืออาจจะไม่มีเลย

หน้าตา status เมื่อลงทะเบียนเสร็จ อันนี้คือของเราช่วง add/drop

4. ถ้าไม่ทันจริง ๆ อย่าไปเครียด เพราะยังมีช่วง add/drop อีก: แต่จะได้เป็น section เหลือ ๆ นะ ถ้ามีก็เปลี่ยนได้ แต่ถ้าไม่มีก็จะเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นเก็บไว้เป็น last minute decision จะดีกว่า

เพราะของเราเทอมที่แล้ว เราต้องแก้ registration ใหม่คือเราได้เรียน EC2 กับ Ajarn Walter แทนที่ตอนแรกเราลง Ajarn Mary แต่เพราะมันชนกับ media com core subjects ทำให้เราต้องเปลี่ยน EC ช่วง add/drop แทน

5. พอลงทะเบียนเสร็จ ให้คลิก send to advisor ด้วย: บางคนจะลืมคลิกตัว send to advisor ซึ่งมันทำให้เหมือนเรายังลงทะเบียนไม่เสร็จ ทำให้จะไม่มี invoice หรือใบจ่ายค่าเทอมขึ้นมา ซึ่งพอคลิกไปต้องรอ advisor approve อีก แล้วแต่ความช้าหรือเร็วในการทำงานของ advisor อย่างของเราเป็นอาจารย์ขวัญ อาจารย์จะ approve ไวมากคือภายใน 2 ชม.ของวันที่ลงทะเบียนเลย แต่ของเพื่อนเรา (ทาช่า) IRGA รอ 3 วัน advisor ถึงจะ approve ก็มี ถ้า advisor approve แล้วตัวระบบ sky ข้างบนของ registration จะเป็นสีเขียวขึ้นมาว่า "print invoice"

ค่าเทอมที่ต้องเตรียมไว้ก็จะประมาณนี้

ค่าเทอมของวิชา media com core จะอยู่ที่วิชาละ 10,800 บาท ส่วนค่า university fee (หรือชื่อใหม่ education service fee) จะอยู่ที่ 20,000 โดยเก็บทุกเทอม (เรียน 4 ปีเตรียมค่า uni fee ไป 240,000 จ้า ไม่ได้เก็บปีละครั้ง เราเก็บทุกเทอม) ฟีลค่าใช้สถานที่อะไรแบบนั้นแหละ (มันคือเรื่องปกติของเด็กที่เรียนอินเตอร์ แบบ international curriculum like IBDP, A-Level, US+AP แต่มันจะดูไม่ปกติสำหรับสายตาเด็กที่มาจากโรงเรียนไทยหรือ EP เท่าไหร่)

invoice ที่ต้องปริ้นท์ไปให้ธนาคารเพื่อจ่ายค่าเทอม

นี่ตัวอย่าง invoice ของค่าเทอมเทอมที่แล้ว ที่เรามีเรียน studio class ทำให้ค่าหน่วยกิตวิชานั้นขึ้นมา 30,000 บาท ค่าเทอมเลยเกือบเหยียบแสนแบบที่เห็นตามในภาพเลย

พอได้ไฟล์ PDF ของใบนี้ ให้เราปริ้นท์ออกมาแล้วเอาไปยื่นให้ธนาคาร หรือจะจ่ายออนไลน์โดยการเก็บ slip ก็ได้เหมือนกัน

 

6. หลังจากจ่ายค่าเทอมเรียบร้อย ให้ใช้อีเมลของมหาลัย (mahidol.edu หรือ mahidol.ac.th ก็ได้) ส่งหลักฐานการโอนเงินไปที่ muicpayment@gmail.com: ให้ระบุชื่อจริง,นามสกุล,รหัสนักศึกษา, major, trimester & academic year ไปตามที่อยู่อีเมลที่เราเอาให้เลย

email ที่ทางคณะจะตอบกลับมาว่าได้รับค่าเทอมแล้ว

7. ถ้าทางคณะฯ ส่งอีเมลกลับมาหน้าตาแบบนี้ คือการจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว: ก็คือจบแค่นี้เลย จากนั้นก็รอเปิดเทอมแล้วไปเข้าเรียนเลยจ้า

8. ระหว่างรอเรียนให้เช็คข่าวตรง OAA news ถ้าการเรียนการสอนยังเป็นออนไลน์อยู่: OAA คือหน่วยงานที่จัดการเรื่อง academic ของทุกวิชาใน MUIC จัดการตั้งแต่การลงทะเบียนเรียน, การลงข้อมูลห้องเรียน ไปจนการออกเกรดเลย ถ้าการเรียนการสอนยังเป็นออนไลน์ คลาสของเราจะไม่ได้ไปที่มหาลัย ตรง OAA news จะลงข้อมูลให้แทนว่าวิชานี้เป็นออนไลน์ ลิงก์เข้าเรียน zoom (meeting code & passwords) เวลาเรียนก็ไปตาม zoom links นั้นเลย

หน้า dashboard ที่จะบอกตารางเรียนและ OAA (academic) news

อย่างในภาพนี้ จะมีระบุ:

- calendar: คลาสเรียนเป็นวิชา เวลา และห้องเรียน หรืออะไรก็ตามเกี่ยวกับการเข้าเรียนทั้งหมด

- exam details: จะเป็นข้อมูลวัน เวลา วิชาที่สอบ ตรงนี้จะ set ไว้ตั้งแต่ตอนต้นเทอมเลย

- chat with your advisor: คือถ้ามีคำถามอะไรอยากถาม advisor ให้ถามได้เลย แต่ในกรณีที่มี contact details อื่นของ advisor แล้ว ให้ไปติดต่อส่วนตัวดีกว่า เพราะ advisor จะตอบใน sky ช้ามาก

- general information: อันนี้ก็จะเป็นแบบ MUIC student classifications and dismissal policy, honours & awards, planning to graduate, guidelines และ course withdrawal จะไม่ค่อยมีอะไรอัพเดทเท่าไหร่ จะเป็นเรื่องการเรียนล้วน ๆ เลย

ตรงนี้ที่เป็นสีแดงคือ student record ถ้าจะเช็คเกรดให้มาตรงนี้

ระบบ sky คือจะสะดวกมาก ๆ อยากเช็คอะไรก็มาเช็คในนี้หมดเลย

เช่น อยากเรียนวิชานี้ จะมาเช็ค prerequisite ก็เช็คจากตรงนี้ได้เลย, เช็คผลการเรียน, clubs and activities ที่ทำ หรืออะไรตามในภาพก็คือมาตรงนี้หมดเลย ระบบมันใช้ง่ายมาก ๆ เลยอะ ไม่น่าจะมีอะไรเข้าใจยากแล้ว

- จบเรื่องการลงทะเบียนเรียนแล้วจ้า -

 

มาต่อกันที่...

1️⃣ รีวิวการเรียน trimester 3 / academic year 2019-2020

ซึ่งเป็นเทอมแรกของมี่นั่นเอง 📖

ผลการเรียนเทอม 1 ของมี่จ้า

อันนี้คือเราเขียนเก็บไว้เป็นความทรงจำก็นานแล้ว แต่เราอยากเอาออกมาแชร์เพราะอยากนึกถึงความรู้สึกตอนนั้น เราเลยเลือกที่จะไม่ paraphrase ใหม่ด้วยคนละช่วงเวลานะ

Yeah!!! เกรดออกแล้วน้า ตามนี้เลย คือวิชาไหนที่ non-credit จะเป็น grade แบบ S (satisfactory) คือผ่านกับ U (unsatisfactory) จ้า ดีใจมากกกกก ได้ A 3 ตัวและ B 1 ตัว
คือตอนแรกเรานึกว่าจะได้วิชาจารย์ขวัญแค่ D หรือ C แต่มันเหนือความคาดหมายมาก ๆ คือได้ B T-T เอาเป็นว่าให้ภาพมันเล่าเรื่องแทนนะ 5555 ได้เฉลี่ย 3.75 คือมันเกินความคาดหมายจริง ๆ เพราะปกติตอนอยู่โรงเรียนเก่าได้มากสุดคือ 3.48 น้อยสุดคือ 2.77 เราจบม.ปลายมาเฉลี่ย 3.15 ด้วย พอมาเจอเกรดงี้เราเลยชื่นใจมาก ๆ ✨

Grading Scheme ของ MUIC

ที่นี่ตัด A 90 และ F 60 จ้า

ให้ภาพเรื่อง grading scheme มันเล่าเรื่องตัวมันเองละกันนะ คือที่ MU และ MUIC ตัด A 90 และ F 60 ทั้งมหาลัยเลย ตัว grading scheme จะสูงกว่าม.อื่นในประเทศไทยเพราะปกติม.อื่น 80% จะตัด A 80, F 50 กัน ที่เรารู้ว่าตัด A 90 ด้วยก็มี Stamford International University (STIU)


😗 Ver. edited ใหม่ก่อนเปิดเทอม 2 ตอนนี้คือ officially sophomore (ปี 2) แล้ว

เพราะที่ MUIC เราสามารถจบได้ใน 3 ปีหรือ 3.5 ปีเลย ละสาขาเราคืออัดเรียนเต็มสูบด้วยความที่เข้าเทอม 3 ด้วย เรียนเทอมละ 20 หน่วยกิต ในขณะที่เด็กที่เข้าเทอม 1 จะเรียนแค่ 16 หน่วยกิตเท่านั้น ก็เลยกลายเป็นว่ามี่เรียน ทั้งหมดตาม study plan เพียง 10 เทอม (trimester ทั้งหมด 4 ปีมี 12 เทอมไง) หรือ 3 ปี 1 เทอมก็จบได้เลย (ถ้าไม่เอา minor) แต่ตอนนี้มี่แพลนจะ minor ฝรั่งเศสแล้ว ขอจารย์สอบได้ Pre-Intermediate I ต้องเรียนทั้งหมดตั้งแต่ Pre-Intermediate I, II, III ในรายวิชา Humanities ละถึงจะเข้า minor อีก 5 วิชาแล้วจบได้ French minor เลย


สำหรับตอนนี้คือมี่เรียนอยู่ MUIC น้า เรียนมาได้วีคที่ 10 ละล่ะ ไว้จะมาอัพเดทเพิ่มเรื่องการเรียนเทอมแรกต่อน้า ❤️ อันนี้ขอพิมพ์เอาไว้คร่าว ๆ ก่อนนะ เผื่อน้อง ๆ อยากอ่านก่อน (ฟีล introduction มั่ก)

แต่หลัก ๆ คือของเราจะเรียนเป็นออนไลน์หมดเลยตอนนี้ due to the Coronavirus outbreak จ้า 555555 คือตอนนี้คร่าว ๆ ก็คือ Media Com สาขาของเราจะเรียนวิชา core subjects ตั้งแต่เทอมแรกเลย แบบวินาทีแรกที่ก้าวเข้ามาเลยอะ 55555 ในขณะที่สาขาอื่นจะเรียน General Education (Gen Ed) ก่อน มันจะไม่หนักเท่าสาขาเรา พวกเรื่องงานหรืออะไรแบบนี้อะ เพราะมันปูความรู้ก่อน บางวิชาอาจมีพื้นฐานตอนม.ปลายมาแล้วงี้ไง แต่ของเราคือเข้า major เลย (เปิดมาคือตาย core subjects - วิชาที่เรียนแล้วเหมือนคอจะขาด อันนี้จริงมาก 55555)


สำหรับเทอมนี้ (MUIC 628 trimester 3: April-July 2020) คือเราโดนเรียน online sessions หมดตั้งแต่เทอมแรกเลย summer ก็จะ online เหมือนกัน (และมีข่าวแว่วมาแล้วจ้าว่าเทอม 2 เดือน Sep ก็จะ online ต่อไป อมกกกก ฟฟฟฟฟฟ บางวิชาผ่าน zoom บางวิชาผ่าน cisco เป็นต้น คือตื่นมา 10 นาทีก่อนคลาสละนั่งเรียนได้เลยอะ 5555 ช่วงวีคแรก ๆ มี่มักตื่นก่อนคลาส 1.30 ชม. แบบคลาสเริ่ม 10.00 จะตื่น 8.30 เพื่ออาบน้ำและกินข้าวอะไรแบบนี้ ตอนหลังไม่ละ เราขี้เกียจ 555


📚 เวลาเรียนออนไลน์ก็จะใช้แค่ 3 อย่างหลักคือ:

1. คอมพิวเตอร์พร้อม applications ZOOM/Webex

2. iPad สำหรับ taking notes (เราใช้ notability ในการเรียน lecture ส่วน good notes เอาไว้ใช้ตอนอ่าน reading materials/reading assignments ซะมากกว่า) และก็

3. สายชาร์จแบต สำคัญมาก ๆ แก 5555 เพราะเรียน 2 ชม. เปิดคอม เปิดกล้องไว้ตลอดคือแบตลงฮวบ ๆ แน่นอน (แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้วเพราะไปถอย mac pro M1 มาใช้แล้ว 55555 แต่ใช้เรียน 4 ชม.

คือแบตลดจาก 100 เหลือ 70 คืออึดมากกก ใช้ตลอด 3 ชม.ครึ่งหรือ 4 ชม. แล้วแต่คาบ บ๊ายบายน้อง air ที่ใช้มาตั้งแต่ม.2) ก็ฟังอาจารย์ไป lecture ไป อะไรงี้ตามปกติเหมือนเรียน on-campus เลย เพียงแต่เราเรียนอยู่บ้านแค่นั้นเอง 55 มันก็มีปัญหาบ้างคือ internet มัน unstable อะ

ละมันก็จะมีพวก breakout rooms ตามวิชาต่าง ๆ เพื่อแชร์ละก็ discuss เรื่องที่อาจารย์ให้ discuss อะ เรารู้สึกอึดอัดเหมือนกันนะเพราะบางคนไม่รู้จักกัน ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน ละแบบมันปิดกล้องหนีกันหมดแล้วก็ไม่ทำงานกลุ่มตามที่อาจารย์สั่งอะ เราก็แบบพยายามถามแล้วว่าใครจะเริ่มก่อนมั้ย จะทำยังไงต่อ แม่*ไม่ตอบอะไรกันเลยเว้ยแก ชั้นก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันนะ แต่ถ้าได้อยู่กับเพื่อนที่คุยได้ รู้จักหรือสนิทกันแล้วคือสนุกมากคือพูดไม่หยุด ละงานออกมาดีมาก ๆ มันทั้งสนุกที่ได้ทำงานและได้อยู่กับเพื่อนอะ


🗣ถ้าถามว่ารู้จักเพื่อนได้ยังไง?

อย่างเราคือมีเพื่อนชื่อกัส ที่เคยเจอกันตอนไปสัมมหาลัยมาก่อนแล้ว แล้วก็เลยคุยกันได้ กัสเป็นคนช่วยหากลุ่มให้มาอยู่ด้วยกัน พออยู่ไปอยู่มา ทำงานกันบ่อยขึ้นเดะมันก็สนุกเองแหละ กลุ่มเราตอนนั้นมีกัส,นัท,บอร์น,ภูมิ ทีม Sleeptight นั่นเอง เพื่อน 4 คน (รวมมี่) ช่วยกันทำงานดีมาก ๆ เลยนะ แต่มันมีคนนึงไม่ช่วยละยังปากดีอีกด้วยจ้า!! คือตอนนั้นทำงาน MasterChef Thailand vs. Australia เราทำของออสเตรเลียคู่กับ P... คือเราอะทำอยู่คนเดียว ละทั้งสไลด์เราพิมพ์ไป 4 สไลด์เต็มหน้าแล้ว มันเพิ่งพิมพ์ได้ประโยคเดียว พอถามว่าแล้วทำไมไม่ทำงานอะ มันบอกว่า "ก็เห็นแกพิมพ์ไปเยอะแล้ว กลัวมันเยอะเกินไป" พอนัทกับกัสได้ยินปุ๊บเหล่าหญิงล้วแซะ P ทันที 55555555 ละมันเป็นงี้ทุกงานด้วยนะ แบบเพื่อนช่วยกันทำหมด 4 คน มี P ไม่ทำอยู่คนเดียวเด้อออ ละได้คะแนนฟรี มันก็เข้าคอลมา เข้า gg docs & slides มา แต่ค้างเติ่งตรงนั้น ไม่ทำอะไรเลย ไม่พูดและก็ไม่ทำงานด้วยจ้าาาาา 🙄 พวกเราอะบึ๊ด (ทีมนี้ 3 คน มี่,นัท,กัส) ก็ถามบอร์นนะว่าเอามาทำไม เอามาก็ไม่ช่วย บอร์นบอกว่า "เพื่อนมันฝากมาดูแลมันด้วย ก็เลยไม่กล้าทิ้ง" ละเอามาเป็นภาระพวก ู เนี่ยนะบ๊อร์นนนน!!!! (แต่หลังจากนั้นภูมิก็ถูก neglect และหายไปเลยโดยปริยาย)


😊เรื่องการเขียน Academic English: อย่างที่บอกคือ... เราไม่ถนัดเขียนมากที่สุด เป็นสกิลที่อ่อนที่สุด ดูได้จากคะแนน IELTS เลย เราก็พยายามเขียนเต็มที่ของเราก่อน แล้วเพื่อนคนที่เก่ง ๆ จะมาช่วยเราแก้อีกที โดยเฉพาะนัทคือพิมพ์เร็วนรกมาก มี่ไม่สามารถไปแย่งนางพิมพ์ได้ทันอะ (อสสสส) นี่แหละนะสกิลเด็กนานาชาติระบบแคนาดาละไปเรียนต่อที่ BC มา 55555 คือสังคมที่นี่ มันไม่มีการมานั่งด่ากันว่ากากหรือนั่งเหยียดสกิลภาษาอังกฤษกันอะไรงี้เลยนะ (เด็กฝั่งไทยที่จะเข้ามาต่อป. ตรีระบบอินเตอร์มักจะกลัวว่าจะโดนเด็กจบต่างประเทศหรือเด็กอินเตอร์ด่ามั้ยนะ? คือมี่เองก็หนึ่งในนั้นที่มาจากระบบไทยและภาคไทยล้วนเลย ขอยาดสรุปนะคะว่า "สรุปไม่มีค่ะ" ตามประสบการณ์ก็คือเด็กอินเตอร์เขาไม่เหยียดกันเองแน่ ๆ จ้า มีแต่อิเด็กฝั่งไทยบางคนที่สกิลสู้ฉันไม่ได้ แล้วมาเหยียดคนที่ได้คะแนน IELTS มากกว่าตัวเองค่ะ 🙃เรายืนยันว่าไม่เคยเจอที่ MUIC นะ แต่เจอมาด้วยตัวเองมาจากที่อื่นจ้าาาา 🤭) เราก็จะบอกเพื่อนเสมอว่า "ถ้าผิดตรงไหนหรือขาดตรงไหนบอกเรามาหรือแก้ได้เลยนะ" เพื่อนก็จะโอเค ๆ กัน เราชอบความเป็นทีมและช่วยเหลือกันมาก ๆ เลย เรามีความสุขในการทำงานอะ ถึงงานมันจะเยอะนรกก็ตาม อิ๊ คือในทีมเราเป็นเด็กฝั่งไทยแบบเต็มตัวแค่คนเดียว ส่วนบอร์นกับภูมิมาจากฝั่ง EP โรงเรียนชายล้วนชื่อดังแห่งหนึ่ง, นัทเรียนอินเตอร์ระบบแคนาดาที่ไทยมา (BCISB) ละไปต่อที่ Victoria, BC (Canada) 1 ปีละกลับมาสอบ GED, ส่วนกัสเคยเรียน EP มาตอนเด็ก ๆ จนถึงม.3 ละย้ายไปสาธิตแห่งหนึ่งจนจบศิลป์จีนตอนม.ปลาย

(ตอนนี้คือทีมอะบะดะ คือกลุ่มหลักของเราจะมีนัท, กัส ละก็ท็อป บวกเรา แต่ก็คือคุยกับกลุ่มมิ้นท์ด้วย)


🤷🏻‍♀️แต่... สิ่งที่สาขาเรา (อาจจะสาขาอื่นด้วย) เกลียดที่สุดคือ plagiarism การไปลอกความคิดคนอื่น

มาแบบ ... อะ ในคลาสนั้นมันมีคนนึงไปแอบก๊อปเรื่องนึงใน webtoon มา เอาจากภาษาไทยมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ ในวิชา creative writing ละบอกว่าเป็นงานของตัวเอง โป๊ะแตกเพราะมีเพื่อนคนนึงไปอ่านเจอใน webtoon ละบอกว่าเรื่องมันคุ้น ๆ) เพราะเพื่อนคนอื่นเค้านั่งคิดกัน เขียนกันเองแทบตาย ตอน workshop ก็แก้กันแล้ว แก้กันอีก โดนเพื่อนชมบ้าง โดนเพื่อนติบ้าง แต่ ึงลอก webtoon มาแบบนี้ ละได้เกรดไปแบบนี้อะนะ? เอาจริง อาจารย์มีสิทธิ์ให้เกรด F มันได้เลย แต่เพราะจารย์เป็นคนอเมริกันและอ่านภาษาไทยไม่ออก มันก็เลยรอดตัวไป แบบไม่น่าให้อภัยมาก

*plagiarism นี่เป็นจุดสำคัญมาก ๆ ของ MUIC เลย งานที่นี่ต้อง originality สูงมาก ๆ (ใครชินก๊อปวางจากวิกิ มานี่คือลืมไปเลยไอการก๊อปวางน่ะ ห้ามเด็ดขาด อย่าหาทำ ขอร้อง ถ้าไม่เห็นแก่ตัวเอง ก็เห็นแก่คนอื่นที่เขาทำงานคู่หรือทำงานกลุ่มกับคุณด้วย เพราะมันมีผลกับคะแนนมากนะ อันนี้เตือนไว้เลยนะ ห้าม ก็ คือ ห้าม!!!) หรือถ้าจะ mention ว่าใครพูด ต้องใส่ citations (year) ด้วย ที่นี่การเขียนจะอิงตาม APA format ทั้งหมด ทุกวิชา คือ double-spaced, times new roman 12, APA reference list ซึ่งจะได้เรียนกันในวิชา EC นะจ๊ะ

ละขั้นตอนสุดท้ายก็คือ... เวลาส่งงานก็จะส่งงานผ่าน TurnItIn เพื่อวัด similarity ใครไปก๊อปงานมาก็คือตายเลย (but you deserved it, bro) เพราะระบบมันจะรู้ว่า source มาจากไหน ก๊อปมาเท่าไหร่ similarity กี่เปอร์เซนต์เลยจ้า

 

เทอมนั้นเราลงทั้งหมด 6 วิชา แต่ได้ 16 credits นะ

เพราะว่ามีวิชา non-credit 2 ตัว 😁


🔢 วิชาที่มี credits มี 4 วิชา:

- Visual Communication (ICMC 103) 🎨: วิชานี้สนุกมาก แต่ Final project โหดสั* แบบ 70% จารย์สอนสนุกนะ Topics เปลี่ยนทุกอาทิตย์เลย ใจดีมาก ๆ ด้วย ชอบดูรูปละตอบคำถามกัน ละสไลด์ละเอียดมาก ถ้าฟังไม่ทันไปอ่านสไลด์ก็เก็บได้เกือบหมด สำเนียงแกฟังยากหน่อยเพราะว่าเป็นคนออสแต่ไปอยู่ลอนดอนมา 10 กว่าปี (กืออิชั้นว่าไม่ใช่สำเนียงบริติช น่าจะพูดสำเนียงออสซี่ เพราะถ้าบริติชชั้นต้องฟังเข้าใจบ้าง แต่นี่ไม่ค่อย 555555) เป็ง Presenter ของ FujiFilm Australia ด้วยจย้า คนดังอยู่นะมีชื่ออยู่ใน Wikipedia ด้วย วิชานี้เราเข้าคลาสครบหมด คาดว่าจะได้ class participation 20 เต็ม, mid-term ได้ 10 เต็ม ส่วน final project เราทำงาน photography ไป 3 ภาพ, งานวาด digital painting 1, poster designs 2 จ้า อาจารย์ หนูขอ A เลยได้มั้ยคะ ตั้งใจทุ่มทำ presentation ไปทั้งหมด 26 slides (จารย์ขอ 1500 คำแต่เราเมลบอกจารย์ว่ามันได้ 3000 กว่า จารย์บอกว่าใส่มาโลด ชอบอ่านยาว ๆ น่าจะสนุก) และ academic paper อีก 1229 คำ (minimum 750, maximum 1500)

- Global Media Industry (ICMC 107) 🌍: วิชานี้ก็สนุก เราเลิฟมาก ๆ ได้เปิดโลกพวกการตลาดตั่ง ๆ ของวงการภาพยนตร์เยอะมาก ทุกอาทิตย์จะต้องดู recorded videos ก่อนเข้าคลาส คือมีครั้งนึงกะจะตื่นมาดูตอนเช้าแต่ว่า... ตื่นสาย เข้าคลาสมาคือไม่รู้เรื่องจ้า แต่งานกลุ่มเยอะนรก มีทุกอาทิตย์เลย 555555 แบบถ้าไม่งานกลุ่มก็ quiz มีอยู่แค่นั้นแหละ ล้องห้ายหนักมาก แต่อาจารย์ติดพูดคำว่า WITH THINGS มาก จนชั้นจะทำ Challenge เคี้ยวพริกทุกครั้งที่จารย์พูดคำนี้ละ แต่ชั้นว่าน่าจะตายก่อน 55555 พวก quiz วิชานี้เราว่าเราทำได้ค่อนข้างดี คือได้ range 8-9 คะแนน อาจารย์ยกเลิก quiz 4 สุดท้ายพอดี ก็เลยได้คะแนน quiz 35/40 ไปเลย ส่วน projects กลุ่ม เราได้ประมาณ 9 จาก 10 กันงี้ SLEEPTIGHT is the best (without P...)

- Man and Arts (ICMC 102) 🖼: วิชานี้... สำหรับมี่คือโหดมาก คิดว่าน่าจะได้แค่เกรด D ขอไม่ F ก็พอแล้วค่ะ คือมันยากมาก ๆ โดยเฉพาะเรื่อง Music วิชานี้จะเรียนแบบดูพวก Antagonist, Protagonist ของงาน Arts ต่าง ๆ เช่น ภาพวาด, การอธิบาย Artistic Forms, การดู Cirque Du Soleil แล้วเขียนวิจารณ์แต่ละซีนเอา, การดู Pulp Fiction แล้วอธิบายพวกสิ่งที่เราเห็น เป็น work of art มั้ย บลา ๆ วิชาหินมาก แบบภาษาไทยยังไม่รู้เลยว่าจะเขียนอธิบายยังไงอะ แต่ต้องมานั่งเขียนอธิบายเป็นอิ้ง แต่ mid-term quiz ได้ 7/10 ก็คือดีใจมากแล้วค่าจารย์ คะแนนรวมทั้งหมดอยู่ที่ 50 จาก 60 และอีก 40 เป็นคะแนนสอบปลายภาค (คือโหดชิบหา*) สอบ 4 ชม. ข้อแรกเป็นอธิบายรูปภาพ, ข้อ 2 เป็น music, ข้อ 3 เป็นเกี่ยวกับหนังที่เราดู เหมือนให้ evaluate งานต่าง ๆ และสุดท้ายเป็นเหมือนข้อช่วย (แต่ขอไม่บอกนะว่าอาจารย์ถามอะไร เป็นเชิง ๆ การประยุกต์พอ)

- Creative Writing (ICMC 106) 📝: อันนี้สนุกมาก คือเขียน short stories เยอะมาก พร้อมเขียน forum posts อาทิตย์ละ 700-1000 คำได้ (หรือเราเขียนเยอะก็ไม่รู้นะ เห็นมีบางคนเขียนสั้นมากจนเราตกใจ) ได้นั่ง discuss กันเรื่อง stories ที่เพื่อนเขียน ได้อ่านนิยายของ Ursala LeGuin (เราเลือกอ่านและวิจารณ์ The Dispossessed เกี่ยวกับสังคม Utopia) ไอวิจารณ์นิยายนี่คือยากสั* ไม่รู้จะวิจารณ์อะไรเพราะจารย์ไม่ได้ให้ criteria มา ต้องเร่ร่อนหาเอาตามเว็บของต่างประเทศละมันก็ดันเขียนไม่เหมือนกันด้วย 5555 แบบได้ทำอะไรหลายอย่างที่มันออกมาแนว Screenwriting อะ เสริมสร้างทักษะการอ่านและการเขียนหนักมาก 5555 วันสุดท้ายที่เราทำ presentation ของ final portfolio คืออาจารย์ชมว่า "it's a spectacular presentation I've ever seen in all 3 classes" คือดีใจมาก ๆ งับ 😊 เราแบบ a little bit of Space Nerd บวกกับความกาว ๆ เลยเอา fiction + non-fiction มาเขียนรวมกัน จารย์บอกว่าควรไปอ่านหนังสือชื่อ Se... (ขอไม่บอกหมดนะ เราไม่อยากให้รุ่นน้องที่จะเข้า Major นี้มานั่งก๊อปงานเราเวลาคิดไม่ออก 😉)

 

❌ ส่วนอีก 2 วิชาที่ไม่มีหน่วยกิตคือ

- Pathway to College Success (ICIC 101) 🎓: เรียนกับจารย์ติติ (คนอินโดนีเซีย) อันนี้คือแบบแจกแจงพวกกฎมหาลัยตั่ง ๆ หรือว่าคำแนะนำในด้านการเรียน หรือว่าเวลาที่มีปัญหาอะไร เช่น การจ่ายค่าเทอม, ขอย้าย major, มีปัญหาเรื่องระบบ SKY ของมหาลัย, จะลง minor คือสามารถมาถามจารย์ติติได้หมดเลย แล้วก็ quiz แต่ละอาทิตย์คือสนุกมาก ๆ เราชอบมาก เช่น media literacy, test-taking, how to reduce stress, languages and cultures พวกนี้จะเป็น introduction มากกว่าแต่ก็สอนเราได้ดีมาก คนอื่นอาจเบื่อที่เข้าเรียนวิชานี้ แต่เราไม่เคยเบื่อเลย เพราะสนุกมาก อิอิ เด็กใหม่ทุกคนต้องเรียนหมดอยู่แล้วนะอันนี้

*หลักสูตรเปลี่ยน น้อง ๆ 638 ไม่ต้องเรียนวิชานี้แล้ว (ถ้าจำไม่ผิด หรือเปลี่ยนชื่อวิชา อันนี้ไม่แน่ใจ)


- English Resources Skills (ICME 100) 🇬🇧: อันนี้สำหรับเด็กที่ไม่ได้เข้า Fast Track ของมหาลัยมา (Overall 6.0, Writing 6.0) เพราะมี่ได้ Overall 6.5 แต่ Writing 5.5 ตามในบล็อคเลย วิชานี้คือสอนด้านการเขียนเราแน่นมาก ๆ อะ คือเรียนพวกการเขียน referenced essays (มี่เขียนเรื่อง how to increase your attention for online sessions during the Coronavirus pandemic) แบบเขียนกัน 900 คำ แต่มี่เขียน 1,009 คำไป ไม่รวมเรฟนะ ละส่งผ่าน Turnitin ละคือเราดีใจมากกกก เพราะ similarity ของ essay เราคือแค่ 18% มันไปซ้ำกับ submitted papers ของเด็กมหาลัยอื่น (แต่มันไม่ขึ้น essay ของเด็กคนนั้นนะ มันแค่บอกว่าเหมือน แปลว่าชั้นไม่ได้ก๊อปมาแน่นอนนน) มันแปลว่าเรา paraphrasing มาเกือบหมดเลย แต่มันก็จะมีพวกคำหรือ sentences ที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันชะ ที่มันจะไปซ้ำกับบางเว็บไซต์ อันนั้นอาจารย์จะไม่นับว่าเป็นการ copy อยู่แล้ว (คะแนนออกมาคือ "ได้ 92/100 คะแนน" จ้าแม่!!! 😱), พวกการเขียนพร้อมใส่ citations APA format, การ paraphrasing (อาจารย์ตรวจโหดมาก ตอน quiz คือเราเกือบตาย), การเขียน summary ต่าง ๆ คือต้องอ่านบทความมาแล้วเขียนสรุปออกมา 150 คำหรือไม่เกิน 170 คำ ที่เราชอบคืออาจารย์ไม่มานั่งสอนเราเขียนแบบ patterns งั้นงี้นะ คืออาจารย์แค่จะบอกว่าจัด paragraphs ยังไง เค้าจะเอา essay ใน format ไหน เช่น อันนี้ situations, problems, solutions, evaluation นะ ละเราสามารถใส่สไตล์การเขียนเราได้เต็มที่เลย ใส่อะไรที่เราเห็นสมควรว่าควรใส่ก็คือได้หมด แบบมันไม่เหมือน IELTS ที่อาจารย์บางคนสอนเจาะแบบประโยคแรกต้องเขียนแบบนี้นะ ต่อไปเขียนแบบนี้ ละก็ต่อด้วยแบบนี้ (อันนี้คือระบบไทยมาก จำไปสอบ)

อันนี้คือคะแนนเราที่ graded ใน google classroom ได้ 92/100 🥳

มี่รู้สึกดีใจมากที่ได้เรียน ERS เพราะว่าได้รับความรู้ด้านการเขียนมาเยอะมาก ถ้าไม่มีคลาสนี้เราคงไม่สามารถเขียน academic essays ออกมาให้ดีได้แบบที่อาจารย์สอนแน่ ๆ มันเหมือนช่วยปูพื้นฐานความรู้เราก่อนเข้าไปเรียน EC1 ที่มีหน่วยกิตอะ ละเราว่าก็ดีด้วยเพราะเราไม่ต้องเครียดมาก เหมือนเป็นเทอมแรกอะ ปรับตัวไปก่อนไม่ต้องไปเครียดอะไรกับเรื่องเกรดมาก เพราะตัวเราเองมาจากระบบไทยแล้วไม่ถูกกับ academic essays อย่างแรงเลยอะ

ปล. เพื่อนสนิทเรา (ทาช่า) ที่เรียน EC1 บอกว่าเราเขียน essays ดีกว่าเด็ก EC1 บางคน เพราะว่าเกทปะ บางคนไปสอบ IELTS มาแบบจำ patterns แล้วเข้าไปสอบอะ ก็เลยได้ 6.0 แต่คือเราเป็นคนเขียนแบบไม่จำ patterns เราเขียนเป็น style ตัวเองหมดมันเลยอาจจะแบบผิดเยอะ มันบอกว่าขึ้นมา EC1 น่าจะสบายแล้ว 55555 ช่าบอกว่า ERS งานเยอะกว่า EC1 อีก

 

📝 สำหรับการสอบ ERS นะจ๊ะ 😉

มันจะเป็นการสอบ 1.30 ชม. คะแนนเต็ม 100 ทุกอัน หลัก ๆ จะสอบ 5 เรื่อง

ของเราเวลาสอบ midterm กับ final จะสอบผ่าน exam.net ที่คอมที่บ้าน เวลาสอบก็คือเปิดกล้องจาก zoom ตลอดเวลา จารย์จ้องแรงมาก จนขนลุก 55555 คือจอมันจะเป็น full screen เลย ละคือถ้ากดไปโดนไอคอนไรนิดหน่อยมันจะบล็อคเลย ต้องส่งไปบอกอาจารย์ว่าทำไมมันถึงบล็อค เช่น ตอนนั้นน้องเรากวนเราตอนสอบมาก เราเลยขอจารย์ย้ายห้องสอบไปสอบข้างบนแทน มันเลยบล็อค ละอาจารย์ถึงจะปลดบล็อคให้งี้

1. vocabulary & definitions: (major word classes: nouns, verbs, adj. & adv.) คือเราจะต้อง "ดูบริบทของคำใน reading context ละตอบ" หลังจากนั้นต้องให้ definition ของศัพท์นั้น ๆ ด้วยตัวเอง (เดานะ ห้าม google เด็ดขาด)

2. comprehension: คืออาจารย์จะถามเป็นแนว what, where, when, why, how พอเราอ่านคำถามจบ เราต้องตอบคำถามด้วยตัวเองแบบ paraphrasing ด้วยตัวเราเอง ไปลอกโต้ง ๆ มาจาก context จะได้ 0 ทันที เพราะเข้าข่าย plagiarism เอาตอบแบบเนื้อ ๆ ไม่ต้องใส่น้ำมา เพราะยิ่งน้ำเยอะ พอมันผิด เราเองจะเสียคะแนนนะ

3. paraphrasing: อาจารย์จะให้แค่ passage 1/2, paragraph..., sentence .... ก็คือเราต้องรู้หลักการดู paragraph และ sentence เพราะถ้าสมมุติเราดูผิด เราก็จะตอบผิด และได้ 0 ทันทีเช่นกัน เพราะ paraphrase ไม่ตรงที่จารย์จะเอา

4. APA citations: คือการใส่อ้างอิงแหล่งข้อมูล หรือ bibliography พาร์ทนี้ได้คะแนนง่ายสุด คือการใส่ APA (7th edition ไม่ต้องมี retrieve from... แล้ว) แต่เด็กผิดเยอะมาก เพราะเราต้องจำว่ามันใส่ italic ตรงไหน indent ยังไง เขียนชื่อ writer ยังไง (นามสกุลก่อน ละค่อยชื่อ เช่น Alexandra Trusova เป็น Trusova, A.) วันที่เท่าไหร่ต้องเรียงยังไง อย่าลืม . ด้วย อันนี้สำคัญมาก

5. summary: ขั้นต่ำถ้าเป็น practice tests อาจารย์จะให้เขียนขั้นต่ำ 150 words แต่ถ้าสอบจริง อาจารย์บอกว่าแค่ 120 words ก็พอ เพราะว่าสอบจริง text จะน้อยกว่า practice tests หน่อย


ตามที่บอก คือเราเรียนกับจารย์โจ เค้าเป็น PC director แต่ถูกขอให้มาสอน Media Com เทอมเราเพราะตอนนั้นเด็กสาขาเราตาราง ERS กับ EC คือวิชา core ชนกับ sec ปกติอื่น ๆ หมดเลย เราก็เลยได้เรียน sec เฉพาะเด็ก mc อะ แต่ก็มีสาขาอื่นอย่าง BBA มาเรียนด้วยอีก 4 คนนะ เท่ากับคลาสเล็กมาก ทั้งหมดมีกันอยู่ 20 คนอะ แต่เด็กก็นิสัยหลากหลาย บางคนคือทำงานดีมาก ปรึกษาได้ตลอด บางคนคือก็บอกตรง ๆ เลยว่า เอ่อ ... ไม่ได้ทำงานมานะ เราคงเช็คของแกได้อย่างเดียว แต่มี่ไม่เคยไม่ทำงาน ทำตลอด แต่มีแค่ครั้งเดียวที่ทำผิดอัน เพราะอาจารย์สั่งไม่เคลียร์ คือตอนนั้น peer editing กัน 3 คน ทำผิดอันมาแล้ว 2 คนอะ ก็เลย 3 หัวรุมกันแก้ essay อันเดียว 😅


ตอนนี้เกรดออกมาแค่ 2 วิชาคือ ERS กับ Pathway คือ get a beautiful S (Satisfactory) มาแล้ว เหลือวิชา core 4 วิชา 55555

predicted grades ตัวเอง:

- Creative Writing: คาดหวัง B+ ถึง A 555555

- Visual Communication: อยากได้ A ค่ะ เพราะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้งานทั้งหมดเลย เรียนสนุกด้วย

- Man and Arts: พระแม่เจ้า วิชานี้แค่ C ก็ดีใจตายชักละ แต่ถ้าได้ C+ ถึง B จะกรี๊ดมาก

- Global Media and Industry: นว้องต้องการ B+ หรือ A ค่ะจารย์ (ชั้นตั้งใจอ่าน reading assignments มาก ความพยายามห้ามทรยศชั้นนะ)

เกรดออกหมดแล้วน้า ได้ Cumulative GPA of 3.75 จาก 4.00 (American System) จ้า!!!! ดีใจกรี๊ดบ้านแตก คุ้มกับที่ฉันเหนื่อยและเครียดมากแม่ 5555

  • Creative Writing: A (4.00)

  • Visual Communication: A (4.00)

  • Global Media and Industry: A (4.00)

  • Man and Arts: B (3.00)

รักทุกคล ละเอียดสุด ๆ ละ ชั้นทำได้แค่นี้ 55555

5 September 2020

- จบการรีวิวการเรียนการสอนของเทอม 1 แล้วจ้า -

 

Review การเรียน Summer: ปิดเทอมที่ไม่ได้หยุด (อ่อ เพลงใหม่ Getsunova) 🌚

เกรดตอน Summer จ้า

การเรียน summer ของ MUIC จะเปิดแค่รอยต่อเทอม 3 ของปีการศึกษาก่อนหน้าและเทอม 1 ของปีการศึกษาถัดไปเท่านั้น คือเดือนสิงหาคม จะเรียนทั้งหมด 4 อาทิตย์ให้ครบ 12 classes เท่ากับเรียนอาทิตย์ละ 3 วัน และสามารถลงได้แค่ 1 วิชาเท่านั้น (4 หน่วยกิต)

เทอมอื่น ๆ จะไม่เปิดให้ลงซัมเมอร์จ้า อย่างช่วงปิดเทอมเดือนธันวาคมกับเมษาก็จะไม่มีให้ลงเลย

 

- Review เรียนวิชา Media, Communication, Art and Socio-Cultural Perspectives in Southeast Asia (ICMC 105) 📺: ตอนนั้นก็คือเราเรียน summer มหาลัยอยู่ เพราะอาจารย์ขวัญบังคับลง ไม่งั้นจะไม่จบหลักสูตรเพราะจะเปิดวิชานี้เป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น เราก็เรียนออนไลน์เต็มสูบเหมือนกัน ก็แบบ Dutch East Indies อะไรแบบนี้พร้อมกับ propaganda ด้านสื่ออะไรงี้แหละ เราว่ามันมึน ๆ หน่อย เพราะเราไม่ค่อยสนใจสื่อใน SEA (Southeast Asia) เท่าไหร่ 55555 ก็สนุกดี คลาสนี้เน้นเรียนแบบ case study and discussion ค่อนข้างเยอะมาก แต่ที่เซ็งกว่าคือการต้องตื่นมาเรียน 9.00 ในวันเสาร์ 😅แต่ไม่เป็นไรแค่เดือนสิงหานั้นเท่านั้นแหละ!!!

*วิชานี้คือวิชาที่น้อง 63 จะไม่ได้เรียนกันแล้ว คือ 628 เรียนกันรุ่นสุดท้าย จริง ๆ วิชานี้สนุกมากนะ เพียงแต่ details เยอะมาก เหมือนเรียนประวัติศาสตร์ใน media ของ SEA เลย ถ้าใครชอบเรียนประวัติศาสตร์น่าจะชอบ

👇เนื้อหาที่เรียนก็จะเป็นพวก (นี่เป็นแค่ตัวอย่างที่เราจำได้นะ):

- Media, pop culture, modernity and the states in SEA

- Photography/Documentary films in the colonial period และ case: dutch ethical policy, the siamese rail film unit, the Dutch East Indies (Indonesia)

- Cinema & Cold War in SEA: pengkhianatan (Indonesia), Lamberto avellana's films (the Philippines)

- Rock n roll and Khmer rouge, pop minang (Indonesia) vs pleng luk toong (Thailand), hijabister อะไรประมาณนี้ วิชานี้ paper เยอะมากกกก คือ midterm paper 20 (เราได้ 14), final paper 30 (อันนี้ไม่รู้ เพราะอาจารย์ไม่บอก แต่จากเกรดที่ออกมาน่าจะได้ที่ 20-24 ), group presentation 30 (เราได้ 26) ส่วน class participation เราได้ 20 เต็มเพราะชอบตอบคำถามอาจารย์ 5555


❤️อาจารย์อาร์มน่ารักมากกกกก จริง ๆ อาจารย์สอน full-time อยู่ที่จุฬาด้วย และมาเป็น part-time ที่ MUIC อาจารย์เป็นคนตลกมากกก (แต่ชอบสอนเกินเวลา 5555) คือตอนนั้นมันเรียน 9.00-11.00 จารย์ชอบเลยมาขั้นต่ำ 20 นาที แต่มีบางคาบที่ผ่านมาเกินมาชั่วโมงกว่า 55555 เอาตรงก็ได้ความรู้จากวิชานี้มาเยอะเลย เข้าใจหลัก propaganda หนักมาก ตอนนั้นวิชานี้กำลังจะสอบ mid-term ประเด็นคือเจอวิชานี้ละจะตาย ดูยากกว่าของอาจารย์ขวัญอีกแม่ม่ม่


- จบรีวิวซัมเมอร์ - 🤭

 

ต่อกันที่...

รีวิวการเรียนเทอม 2 (ปี 2 เทอม 1) as a media com student 📺

เกรดเทอม 2 ของเราเองจ้า มันอาจจะไม่ได้สวยมาก แต่เรา proud กับความพยายามของเรา and that's all 😉

1. Intermediate English Communication I (EC 1) (ICCM 104) 🇬🇧: วิชานี้จะเป็นวิชาภาษาอังกฤษที่เน้นการเรียนด้าน academic writing และ descriptive writing ตัวเราเองเรียนกับอาจารย์ Sarah เป็นคนอังกฤษ สำเนียง amazing มาก สำเนียงเค้าคือบริติชจ๋า ตอนแรกเรานึกว่าเขาจะสำเนียง English midlands เพราะเค้าจบจาก U of Nottingham (Nottinghamshire, East Midlands) แต่พอเค้าพูดจริง ๆ เอ้า เห้ย สำเนียง BBC English (อีกอย่างเรียกกันว่า RP หรือ Received Pronunciation หรือที่บางคนเรียก queen's English) เราว่า Sarah เป็นอาจารย์ที่ดีมาก ๆ เลยอะ เวลาเราไม่เข้าใจอะไร ขอแค่เมลไปถาม เค้ายินดีตอบและ schedule meetings ให้ถ้าเราต้องการคำอธิบายจากเค้าเพิ่ม เรื่อง essays ของเรา อย่างตอนนั้นที่อากงเราเสีย เราต้องไปช่วยที่บ้านจัดการเรื่องงานศพ ไม่ได้เข้าคลาส อาจารย์ก็แบบ condolences แล้วบอกเราว่าถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรจากคลาสที่พลาดไป ให้ส่งเมลมาถามเขาได้ เขายินดีอธิบายเพิ่ม

🥲แต่วิชานี้ได้ B คือแอบโกรธอยู่นะเพราะตอนแรกคิดว่าจะได้ B+ 😂 แต่มันผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะ สำคัญกว่าคือความรู้ที่เราได้ติดตัวมาซะมากกว่า 🤗

 

👇เนื้อหาที่เรียนก็จะเป็นพวก:

- Descriptive essay: พวก describing places, adding details (adj, adv), figurative language (simile, metaphor, hyperbole, personification) คือเรียนพรรณาเหมือนภาษาไทย เพียงแต่เราเรียนเป็นของภาษาอังกฤษแทน คือถ้าพื้น writing ไม่มีเลยคือตายสถานเดียว

ตัวอย่าง figurative language:

- the sun was glowing like a ball fire: อันนี้คือ similes จะมีการใช้ like, as เพื่อเปรียบเทียบสิ่งต่าง ๆ

- love is an open door: อันนี้คือ metaphor ใช้การอธิบายโดยใช้ is เพื่อบอกว่าสิ่งนี้คืออีกสิ่งหนึ่ง

- this class is going on forever อันนี้เป็น hyperbole: เพราะเป็นการกล่าวเกินจริง พูดอะไรให้มันดู exaggerated มากกว่าความเป็นจริง

- the sea keeps kissing the shoreline: นี่คือ personification เปรียบสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ให้มีการกระทำที่เหมือนมนุษย์ ทำให้งานเขียนของเราดู bring life and personality to objects and places in the writing มากขึ้น

※ อันนี้ของเทอมเรา เราสอบ descriptive essay 500-600 words ใน 1.50 ชม. ผ่าน zoom จ้า อาจารย์จะให้ topic มา ณ ตอนสอบเลย เวลาสอบต้องเปิดกล้องตลอดเวลา ห้ามขยับไปไหนจากโต๊ะ แล้วก็เขียนส่งอาจารย์ใน turnitin ก่อนหมดเวลา 5 นาที

 

- Journalistic report: อันนี้จะเรียนเหมือน gather information จากหลาย reliable sources แล้วมาเขียนข้อมูลใหม่ สรุปข้อมูลใหม่ เรียบเรียงใหม่ ให้เป็นเหมือน news report ตามใน BBC หรือเว็บข่าวที่เขาจะเขียนกันแค่ 3-4 ประโยค แล้วกดเว้น 1 บรรทัดแล้วก็ค่อยให้ข้อมูลต่อ แต่อันนี้จะเป็นงานคู่ทำกับเพื่อนอีกคนนึง

 

- Expository essay: อันนี้ทำงานเดี่ยว เขียน 750 words แล้วเอามาเขียนเรื่องที่ตัวเองสนใจ มันจะมีหลายแบบ เช่น process essay, compare/contrast essay และอีกมากมายซึ่งน้อง ๆ จะได้เรียนในคลาสกัน thesis statement ก็คือสำคัญมากกับงานเขียนอันนี้ ต้องแน่ใจว่ามัน strong จริง ๆ อะ hook ก็สำคัญเหมือนกัน ตัวนี้เราเขียนเรื่อง "Thailand in a new era of protesting to reform the government and monarchy."

ปล. เด็ก muic จะโยงเข้าเรื่องการเมืองไม่ไทยก็เทศกันเยอะมาก แต่อาจารย์ไม่ปิดกั้นเลยนะ ถ้าเราสามารถเขียนอธิบายแบบเป็นเห็นเป็นผลได้อะ what's important: "your evidence" because the evidence is proof that someone cannot argue with you. มันจะไม่ใช่การเถียงแบบ unreasonable arguments แต่ต้องมี logic ด้วยอะ อาจจะเพราะเค้าถือว่ามันเป็นเรื่องที่พูดกันได้ มันคือ freedom of speech หรือ freedom of expression จะเขียนเรื่อง racism, LGBTQ+ movement ก็คือตามสบายเลย อะไรก็ได้ตราบใดที่ยูมีเหตุผลมา support

 

- Reflective journals: อันนี้คือ reflect เรื่องต่าง ๆ ที่อาจารย์สอนมาว่าเราได้เรียนอะไรกันไปบ้าง โดยของ EC 1 อาจารย์จะเก็บตัวนี้ 4 ครั้ง โดยใช้หลัก describe, analyse, evaluate และ what I did, what I learnt from what I did, how what I learnt–changed the way I think?

*late submissions are not accepted for reflective journals จ้า


- วิชานี้ลงรายละเอียดเยอะหน่อย เผื่อน้อง ๆ ไม่เข้าใจจะได้มาอ่านกันได้ -

 

2. Introduction to Media and Communication (ICMC 101) 📺: เรียนพวก basic understanding of media and communication อะ เช่น media power & influence, digital media & media convergence, internet celebrity culture, game/culture and technology วิชานี้เราเรียนกับอาจารย์มน เป็นคนไทยแต่เรียนโทกับ PhD จากอังกฤษ สำเนียงคือบริติชจ๋ามาก ๆ วิชานี้เก็บคะแนนจากพวก media labs, quizzes, online discussion board, class & final presentation และ final papers ด้วย เน้น discussions กับเพื่อน ๆ 4 คนทุกคลาส แล้วต้อง present ให้อาจารย์กับเพื่อนฟังทุกคาบ ซึ่งเราว่าดีมาก มันฝึกพวก presentation (public speaking skills) ให้เราและทักษะการทำงานร่วมกับคนอื่นด้วย presentation คือทำสิ่งที่สนใจที่เกี่ยวข้องกับ each topic ที่เราเรียนกันมา อาจารย์มนคือให้ความช่วยเหลือเด็กดีมาก ๆ ตอบไลน์เร็วโคตร แถมถ้าไม่เข้าใจอะไรเค้าชอบบอกให้ always ask for help เพราะเขาสามารถ arrange a meeting ให้ได้ นี่เจ้าประจำชอบส่งไลน์ถามอาจารย์ ในคลาสนั้นมันจะมีเด็กบางคนที่ไม่ทำงาน หนีพรีเซนต์อะไรงี้ (ควรโดน F ไม่ก็ dismissal ซะให้เข็ดนะ นี่มหาลัยไม่ใช่ม.ปลาย โต ๆ กันแล้ว) อาจารย์มนก็คือหางานอื่นให้ทำจนกว่าพวกนั้นจะมีงานส่งและผ่านคลาส แต่เกรดน่าจะไม่สวยอะ วิชานี้มีหลายครั้งที่เราส่งงานช้าแล้วน่าจะไม่ได้คะแนน เพราะเราลืมเช็คว่าเขามี time deadline ที่ 6 โมงเย็น แต่ได้ B+ ก็คือดีใจมากแล้ววววว

 

3. Media and Communication Regulations and Ethics (ICMC 201) 📖: 555555 วิชานี้คือ 55555 ยากชิ*หายยย 555 ถถถถ เรียนกฎหมายภาษาไทยก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ต้องมาเรียนเป็นภาษาอังกฤษหมดอี๊ก ว้อยยยยย วิชานี้คือเก็บ mid-term 40, final 50 และเข้าเรียน 10 คะแนน คนได้ D กับ D+ วิชานี้มีกันระนาว A มีบ้างประปราย อาจารย์ที่สอนชื่ออาจารย์สินฟ้า ปกติสอนภาคไทยของม.รัฐที่ไหนบ้างเราก็จำไม่ได้ แต่เค้าเคยทำงานกับ Seattle Times มาก่อน ที่เรียนก็จะเป็นพวก freedom of expression, international laws that protect freedom of expression, freedom of expression and media freedom under Thai constitutions, computer crime act (CCA), intermediary liability under the computer crime act, right to know and access to information law (official information act), broadcasting laws, NBTC act, media regulation and other laws that affect media operation: junta's orders, martial laws, internal security, an emergency decree เป็นต้น จริง ๆ มีเยอะกว่านี้อีก แล้วสอบ 4 ชม. เขียนอธิบายประมวลกันยาวเหยียด 4 ชม. คือไม่พอสำหรับเรา ได้ C มาก็คือโคตรเหนือความคาดหมาย ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะได้ D แล้วววว อะโหย ขอลาตายอะสอบเสร็จวิชานี้

 

4. Media and Cultural Theory (ICMC 202) 📑: วิชานี้ปั่นโปรเจคกันเยอะนรกแตกมาก ๆ เหมือนเรียน philosophy ไปด้วยเพราะพวก theories มันมีการเอา philosophy thingy มาเกี่ยวข้อง ที่เรียนก็พวก philosophy of communication: axiology, epistemology, ontology, media and culture, critical media theories, audience theories, media and social theories and plethora 5555 เดี๋ยวมีตัวอย่างงานให้น้อง ๆ ดูด้วยจ้าาา ตอนต้นเทอมก็คือเราต้อง theory กลุ่มเราทำเรื่อง Face Filters and Filters in Story of Instagram และเอามา applied กับ theory ที่เราเรียนอะ

อันนี้ตัวอย่างวิชาที่เราทำงานกลุ่มกับเพื่อนกัน 6 คน ชื่อทีมว่า "หิวข้าว" เพราะแบบเจอรี่ชอบสอนตอนเช้า 8.30-11.50 ละทีมเราก็ชอบหิวตอนเช้ากัน จากนั้นก็บ่นหิวน่ะ 55555 วิชาของอาจารย์เจอรี่อันนี้ สุดท้ายได้ B หรือ range "above average work" (range คะแนน 80-84) กันมา คือแบ๊บบบบ project-based ล้วนกันเลยวิชานี้อย่างน้อยก็หายเหนื่อยหน่อย คลิกอ่าน: ที่นี่ 🥲
 

5. Popular Entertainment (ICMC 203) 🎥: วิชานี้คือเราได้วกกลับมาเจออาจารย์ขวัญอีกรอบนึง

- 6 weeks แรก: เรียนเป็น theory เช่น structure of communication process, entertainment product, economic perspective, spectacle, performance (being, doing, showing, action), Schechner's theory of performance, globalisation vs glocalisation พอเรียนจบก็ต้องทำ midterm presentation ของกลุ่มเราทำเรื่อง inception ต้องวิเคราะห์หนังทั้งหมดในแง่ของ film and economic perspectives ด้วยแล้วสร้าง formula การประสบความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ขึ้นมากันเอง เขียนกันเกือบ 10 หน้าแล้วก็ทำ presentation โดยของกลุ่มเราต้องใส่ตัวอย่างจากในหนังให้เพื่อนดูเยอะมาก เพราะ inception เน้น performance เยอะกว่าเรื่องอื่น อันนี้เราทำหน้าที่ present ครึ่งหลังกับนัท โดยที่นัททำครึ่งพาร์ทหน้า

วันที่ขอยืมอุปกรณ์จาก FAA ไปออกกองกัน 🎞

- 6 weeks หลัง: คือทำงานกันจริง ๆ ออกกองกันจริง ทำ trailer หนังกันจริง เหนื่อยมากกกกแต่สนุกมากกกก จากที่ไม่รู้อะไรเลยก็คือต้องมาทำงานกันให้ได้ กลุ่มเราใช้เวลาถ่ายทั้งหมด 8 วัน โดยที่เราเป็น 1 ในตัวแสดงแต่ไม่ใช่ตัวหลัก เพราะกัสเป็นตัวหลัก กลุ่มเราทำเรื่อง "NOBODY" theme ก็คือ "Although how many times you change your appearance, your soul remains the same" ก็คือ "ต่อให้เราจะเปลี่ยนรูปร่างเราไปกี่คน แต่ช้างในเรามันยังเหมือนเดิม ภายนอกก็ไม่ได้ช่วยอะไร" เป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าตัวนางเอกเป็นโรคชนิดนึงที่ทำให้ภายนอกดูน่าเกลียด คนไม่อยากยุ่งด้วย ไม่มีใครคบ (ตั้งใจเสียดสี beauty standards ของสังคมเราที่คนชอบตัดสินกันจากภายนอก) แล้วนางเอกไปพบหมอเถื่อนคนนึงที่มี advanced medical technology ที่ทำมียาที่ทำให้นางเอกสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นใครก็ได้ แต่ตอนจบก็ทิ้งไว้ให้คนดูไปคิดเอาเองว่ามันจบยังไงเป็น cliffhanger ไว้ เพราะนางเอกลืมตากลับมาเป็นคนเดิมประมาณว่ามันไม่ได้สำคัญที่ภายนอกแล้ว ถ้าตราบใดฉันยังมีความสุขกับชีวิตตัวเอง final presentation อันนี้แบ่งเป็นเรื่อง production กับ marketing โดยที่เราอยู่ฝ่าย marketing กับกลุ่มเพื่อนเรา ตอน present คือต้องไปม. โดยไป pitch the idea แล้วตอน present จบอาจารย์จะให้พลาสติกเส้นไว้คนละ 5 อัน ห้ามโหวตให้กลุ่มตัวเอง เอาพลาสติกเส้นไปวางกลุ่มที่เราอยากจะลง budget ให้ ตอนจบกลุ่มเราได้ B เพราะอาจารย์จะตัดจากคะแนนโหวตที่แต่ละ trailer ได้

📄พอจบ final presentation ก็สอบ final exam ต่อเลยโดยอาจารย์ให้เวลา 1.30 ชม. เป็น final exam เกี่ยวกับเรื่อง NOBODY ว่าเกี่ยวกับอะไร, เราทำอะไรบ้าง, formula ที่เราคิดจะช่วยให้หนังประสบความสำเร็จยังไง เป็นต้น


- จบเรื่องการรีวิวการเรียนเทอม 2 หรือปี 2 เทอม 1 จ้า 😊-

 

😝 รีวิวการเรียนเทอม 3 (ปี 2 เทอม 2) ก่อนจะขึ้นมาเรียนวิชา concentration & major electives 😍

ได้กลับมาม.บ้างแล้ว ดีใจมั่กกกกก เลยตะลุยม.ด้วยการนั่งแทรมซะเลย

เกรดออกแล้วววว ❤️ ก็เหนือความคาดหมายอยู่นะ 😙

เกรดออกแล้วก็แอบคุ้มค่าเหนื่อยอยู่แหละะะะะ 🙆🏻‍♀️ คือ this means a lot to me 😍

 

1. Intermediate English Communication II (ICCM 105) (EC 2) 🇨🇦: อันนี้คือขั้น advanced ของ EC 1 จ่ะเด็ก ๆ เราเรียนกับ Aj. Walter อาจารย์เป็นคนอินเดียน แต่ว่าไปเรียนตั้งแต่ BA, Grad. Dip., MA และ PhD ที่แคนาดา (York University, Toronto, Canada) แล้วก็มาสอนที่ประเทศไทยหลายสิบปี ใครอยากอ่านบทความของอาจารย์แกไปหาได้เลย Ajarn Walter Persaud แกตีพิมพ์เรื่อง intercultural หรือพวก racism ในเมืองไทยเยอะมาก เพราะแกเป็นคนอินเดียนและมี darker skin ทำให้แกเจอพวก racism ด้านการสอนในประเทศไทยเยอะมาก ประมาณว่าเรื่องสีผิวนี่คือ unwritten qualification อะ แบบ right qualifications, wrong skin colours ชัด ๆ ต่อให้คุณเก่งแค่ไหนแต่สีผิวคุณไม่ใช่คนขาวแบบฝรั่ง คุณก็หางานในประเทศไทยยากมาก เพราะนักเรียนไทยจะไม่อยากเรียนกับคุณเพราะคุณมีผิวสีเข้ม (จาก research essay ที่เราทำมาก็คือจริง เพราะเด็กไทยและคนไทยส่วนมากมี wrong perceptions เรื่องสีผิวกับ appearance หนักมาก ว่าคนสอนภาษาอังกฤษต้องเป็นคนผิวขาว ตาสีอ่อนหรือสีฟ้า และผมสีอ่อน/บลอนด์เท่านั้น)

คือเรียนกับอาจารย์ Walter คือโคตรจะเปิดโลกอะ มันทำให้เราเข้าใจว่าจริง ๆ ประเทศไทยก็มีการเหยียดผิวแต่เราแค่ไม่ยอมรับและมองข้ามมันไป และเพราะเราคือชนกลุ่มใหญ่มาโดยตลอด มันทำให้เราเหยียดคนที่แตกต่างจากเราทั้งคนไทยที่เป็นคนไทยแท้หรือชนกลุ่มน้อยอย่างคนไทใหญ่ หรือคนทำงานจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเราเหยียดว่าเค้าด้อยกว่าเราจากงานที่เค้าทำ (ปกติเราไม่ judge ใครจากสีผิวและรูปลักษณ์ภายนอกอยู่แล้ว เพราะเราเองก็ไม่ใช่คน perfect อะไร เป็นมนุษย์คนนึงที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เราเชื่อว่า beauty comes from within จ้า แต่เราจะ bias มาจากการกระทำของคนนั้นซะมากกว่า) แต่เราก็คือได้ยินเรื่องพวกนี้มาตลอด เช่น "คนไทยปกติขี้เกียจ ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม เพราะฉะนั้นเค้าจะทำได้แค่นี้มันก็ไม่แปลก ไม่เหมือนคนจีนที่ขยันทำมาหากินกันมาตั้งแต่สมัยก่อน" อันนี้ก็คือการเหยียดอย่างนึง แต่คนบางคนอาจจะมองว่ามันก็เป็นเรื่อง common ปะวะ? เปล่าอะ ไม่ใช่เลย อันนี้มันคือการเหมา entire race เลยนะแก... ต่อให้เค้าจะเป็นแบบนั้นก็ควรระบุเป็นคนไป ไม่ใช่ไป assume เอาเองจาก race หรือสีผิวของเค้าอะ

ถามว่ายังไง? The vast majority racial group in Thailand is "Thai-Chinese", right?

✔️Those Thai-Chinese people tend to look down on Thai people with darker skin, such as the Isan people. That's my answer in a sentence.

※ culture ของที่ MUIC จะเรียกอาจารย์กันด้วยคำนำหน้าว่า Ajarn/Aj. แล้วต่อด้วยชื่อจริง/ชื่อเล่นหรือชื่อที่อาจารย์แนะนำตัวเองให้เรียกจ้า ใช้เพื่อเป็นการให้เกียรติอาจารย์ แต่บางคนจะไม่ใช้ก็ได้

🥲ใช่ น้อง ๆ บางคนอาจจะได้ยินชื่อเสียงของอาจารย์วอลเตอร์ว่าแกโหด ละค่อนข้างจะเหวี่ยง ๆ วีน ๆ แต่เราว่าอาจารย์ก็ไม่ได้แย่อะไรนะ ก็เป็นมนุษย์ปกติทั่วไปที่มีทั้งอารมณ์ดีและก็ไม่ดี

ส่วนตัวเราชอบวิธีการสอนของแกอยู่ แกจะไม่ได้สอนแบบ lecture ทั้งหมด (เพื่อนที่เรียนกับ Mary จะบอกว่า Mary สอนสนุกแต่จากที่เราเห็นคือ Mary จะสอนแบบ Sarah คือเรียนตาม slides ไปเรื่อย ๆ) คือก็มีสอนแนะนำเนื้อหาและ topics ต่าง ๆ เหมือนคนอื่นแหละ แต่ instruction หลักจะเป็นเหมือน self-study คือแกแนะนำ sources ให้แล้วเราไปนั่งอ่านเอง แล้วค่อยเอามาเขียนเป็น essay ก็ได้ แกแนะนำพวก structure อะไรแบบนี้นะแต่นักศึกษาต้องไปจัด format เอาเองอีกที

เด็กที่มีปัญหาโดนวอลเตอร์วีน มักจะเป็นเด็กที่ไม่ค่อยไปขอคำแนะนำหรือขอ reliable sources อ่านเพิ่มเอาเองซะมากกว่า หรือไม่ยอมทำตามที่แกแนะนำเรื่องการเขียน outline ก่อนจะปั่น essay หรือการที่แกแนะนำให้ปั่นทีละ paragraph อะ เช่นมี 4 paragraphs แกจะชอบแนะนำให้ปั่น 4 วัน เป็นวันละ paragraph เพราะถ้าเขียนพร้อมกันหมด มันจะ mess up ง่ายมาก ซึ่งถ้างานมันไม่ well-organised เขียนสะเปะสะปะ (circular reasoning) อาจารย์แกจะดูออกทันที และเสยเด็กเลย 555555

ปล. เด็กไทยหรือเด็กเอเชียนชาติอื่นจะติด culture การพูด sorry เวลาที่ทำให้อาจารย์ดูไม่โอเคใช่ปะ แต่วอลเตอร์คือจะรำคาญการ saying sorry มาก ฟีลเค้าเหมือนจะบอกว่า what's the point of saying sorry? สังเกตได้จากการตอบกลับของเค้าแบบดูหงุดหงิดอะ เด็กจะตกใจละพูด sorry กัน แต่เค้าก็จะหัวร้อนต่อ ประมาณว่าจะขอโทษทำไมกันนะ เหมือนไอการขอโทษนั้นปั่นให้เค้าหัวร้อนขึ้นไปอีกอะ เพราะฉะนั้นระวังตัวเองไว้หน่อยนะ 5555

ปล. 2 ใครอย่าไปหาทำแกล้งเค้าโดยการ evaluation เค้าแย่ ๆ นะ เพราะจากที่เราเรียนมา เค้าไม่ได้แย่อะไรเลยด้วยซ้ำ เรา evaluate และให้ comment เค้าดีด้วย เวลาจะ evaluate ใครแยกเรื่อง emotion กับ instruction ออกมาให้ได้ก่อน อย่าเอาทุกเรื่องมารวมกันหมดแล้วประเมินใครสักคน พวกแกอย่ามาทำตัว racial discrimination แถวนี้นะ มันน่าเกลียด (เรารู้ทันเพราะตอนเราอยู่โรงเรียนเก่ามันมีเด็กชอบแกล้งครูที่เป็นคนฟิลิปปินส์ หรือครูที่สอนภาษาอังกฤษแต่ไม่ใช่คนผิวขาว ทั้งที่พวกเค้าสอนดีและตั้งใจสอนมาก แต่ไอพวกเด็กพวกนั้นคือไม่ได้ judge หรือ evaluate คนสอนจาก abilities ของเค้าเลย แต่มา judge เค้าเพราะผิวสีอะ ประเมินให้เค้าต่ำมากเพราะอยากแกล้งเค้า อย่ามา racial bias แถวนี้นะ ไป educate ตัวเองเรื่อง racism ก็ดีจ้า 😡)

ห้องที่เราเรียน EC 2 (A 522)

👇เนื้อหาที่เรียนก็จะเป็นพวก: - Positionality Statement: it shows who you are and where you are in the society. มันเป็นการสะท้อนตัวตนเราเองว่าเราคือใคร เราอยู่ตรงไหนของสังคม สิ่งพวกนี้มันหล่อหลอมให้เราเป็นเรายังไงบ้าง (how society influences the way you think, biases that need you to become aware of) อย่างที่เราเขียนก็คือ

"Everyone has a pair of glasses in their minds to create the standards to see all surroundings. Our perceptions of the world influence people to be the same as others through cultures, the society we grew up in, but some essential factors can simultaneously mould someone to be remarkably different. This positionality statement will demonstrate these factors: races, ethnicities, class, gender and age, how it shapes my aspects of being the current version of myself."

- Topic Proposal: อันนี้จะ related กับ argumentative essay ของเรา คือเราต้องทำ proposal ก่อนว่าจะทำเรื่องอะไร (ให้ฟีลเหมือนจะสมัครเรียนป.โทที่แคนาดามั่ก 5555 เพราะฝั่งอเมริกากับแคนาดาถ้าจะต่อโทต้องมีตัวเอกสารอันนี้ เค้าถึงจะรับเข้าเรียนจ้า) เราเลือกทำเรื่อง "a research proposal on discrimination against Filipino teachers in Thailand." คือก็ต้องมี define the issue, importance/significance of the issue, debates concerning the issue, how the issue relates to my positionality, research questions, hypothesis, references อยู่ที่ 500-600 words (เราเนียนล่อไป 700 5555)

- In-Class Critique Presentation: จะ related กับหัวข้อที่เราทำของ proposal คือ Aj. จะให้ทำงานกลุ่มเป็น critique กับคนที่ทำหัวข้อใกล้เคียงกันอีกทีนึง เราทำเรื่อง Critique Presentation and Logical Weaknesses on Perceived Racial Discrimination, Depression, and Coping: A Study of Southeast Asian Refugees in Canada. โดยที่ 1st weakness: errors of commission (inappropriate comparison because it compares immigrants and students to refugees) และ 2nd weakness: recruitment of participants outside the focus group เราอยู่กลุ่มเดียวกับจินจูและจอนนี่ จินจูเป็นลูกครึ่งไทย-เนปาลแต่พูดไทยไม่ค่อยได้ ก็คือคุยภาษาอังกฤษกันไปโดยปริยาย 5555 สนิทกันที่สุดในคลาส EC แล้ว

※ เรื่อง critique presentation เป็นหัวข้อที่เอามาสอบตอน final (20%) แต่เปลี่ยนเป็น critique essay แทน โดยอาจารย์วอลเตอร์จะหาข่าวมาให้อ่าน (ตอนนั้นของเราได้เรื่อง Black Lives Matter) แล้วเขียน critique เนื้อหาข่าวตามสิ่งที่ได้เรียนไป

📝ตอนสอบก็สอบออนไลน์ผ่าน zoom แต่ว่าต้องเปิดกล้องตลอดเวลา ถ้าปิดกล้อง วอลเตอร์จะถือว่าเป็นการ cheat ทันที แล้วห้ามขยับออกไปจากโต๊ะด้วย ขยับตอนไหนก็คือวอลเตอร์จ้องตลอดเวลา 55555

โดยแบ่งเป็น 4 paragraphs (600 words) ต้องมี:
1. Introduction & thesis statement 
2. Content critique (write it first, easier to do) 
3. Critique of logical contents 
  logical fallacies: 
- errors of omission: an argument leaves out important details) 
- errors of commission: an argument includes incorrect details)
- errors of values/perspectives: an argument with value bias)
4. Conclusion
* หมายเหตุ: No citations and references required

- Argumentative Essay: อันนี้คือ essay 1200 words (ฉันแอบล่อไป 1400 เช่นเคย แต่อาจารย์ไม่รู้ 555555) เราทำเรื่อง racial discrimination against non-native and non-white migrant teachers in Thailand เรามีทำบล็อคอันนี้ไว้แล้ว published แล้วจ้า ก็คือตั้งแต่เรียน ERS ของ MUIC มา เราไม่มีปัญหาเขียนคำไม่ครบอีกเลย มีแต่เขียนเกินเท่านั้น 555 🤣

เกรดวิชานี้ออกแล้ว บวกกับเราตั้งเวลาโพสต์ไว้ ทำให้โพสต์ออกมาพอดีเลยค้าบ 😊
ใครที่อยากรู้ว่า Essay ของ EC 2 ที่ต้องทำเป็นยังไง สามารถมาอ่านได้เลยจ้า
👇ตัวอย่าง Argumentative Essay – Racial Discrimination Against Non-Native & Non-White Migrant Teachers in Thailand: here
* plagiarism is UNACCEPTABLE. DO NOT COPY MY ESSAY 😉  
 
งาน presentation ของ audio com ที่กลุ่มเราทำเรื่อง Christian Marclay

2. Audio Communication (ICMC 104) 📣: วิชานี้เรามึน ๆ อะ คือมันใช้ทักษะการฟังเยอะมาก โดยวิชานี้จะแบ่งสอน 6 สัปดาห์แรกเป็นอาจารย์ออม จากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหิดลนั่นเองจ้า

(ใบ้ให้: เป็นคนที่ทำ Orchestra version ให้บิวกิ้น เพลงกอดในใจ น่าจะหาตัวได้ไม่ยากเพราะอาจารย์ออมคือเป็นคนดังอยู่แล้ว 5555) จะสอนพวก classical music, elements of music,

musical styles, history of sound in film, modern music, sound in production (จำพวก off-screen, on-screen) และการทำ soundscape และ present ให้เพื่อนกับอาจารย์ฟังส่วนครึ่งหลังเป็นอาจารย์บิ๊กจากมช. มาสอนพวก sonic art, media scores and composers เราชอบครึ่งหลังมากกว่าเพราะด้วยความที่เราชอบฟัง pop EDM, indie-pop อะไรงี้แล้วมันทำให้เราจับจุดงาน

sonic art มาประยุกต์กับการฟังเพลง pop ได้ง่ายขึ้น เพราะเราไม่รู้เรื่อง classical music เลย คือเราเคยเรียนเปียโนกับอูคูเลเล่มาก็จริง แต่เราลืม sight-reading กับเรื่องโน้ตต่าง ๆ ไปหมดแล้ว

*วิชานี้เป็นวิชาเดียวที่เรียนออนไลน์ตั้งแต่ต้นเทอมยันจบเทอม เพราะว่าครึ่งแรกก็ไปม.ไม่ได้เพราะต้องเรียนออนไลน์ ส่วนครึ่งหลังอาจารย์บิ๊กติดอยู่ที่เชียงใหม่ ไม่สามารถเข้ามาสอนที่ MUIC ได้ 🥲

 

3. Research Methods and Basic Statistics in Communication and Cultural Studies (ICMC 204) 📠: วิชานี้จะพูดยังไงดีอะ 5555 เป็นวิชาที่โคตรรรรหิน หินแบบหินมาก มี่และผองเพื่อนคิดจะดร็อปตั้งแต่เรียนไป 2 อาทิตย์แต่เรียนไปเรียนมาไม่ดร็อปดีกว่าเพราะฉันไม่อยากเจอเนื้อหานี้อีกรอบแล้ว ขออนุญาตเรียนไปและสู่ขิตไปดีกว่าค่ะ วิชานี้จะเรียนพวก paradigms & reasoning in research, the importance of literature reviews, designing research, formulating questions & problems, qualitative and quantitative research, data analysis และ workshops เยอะมาก ๆ มีสอบ oral exam ด้วยคือสอบปากเปล่าจาก research ที่เราเลือกมา (เราได้ B+ ตอนสอบปากเปล่า ก็คือตายน้ำตื้นเพราะ Aj. Jeri ถามถึงหัวข้อแต่เราไปลง details ซะหมดเลย อาจารย์ให้ hint เลยโดนหักคะแนนเลย อสสสส แงงงงง)

วิชานี้ published ตัวอย่างงานไปแล้ว ไปอ่านได้เลยจ้าน้องงงงง ๆ
เรากับกัสและท็อป ทำ qualitative research เรื่อง Influential Factors & Cultural Perspectives on Oscar-winning films: Parasite and Green Book ก็คือไป interview คนมาทั้งหมด 26 คนแล้วต้องมา interpreted ข้อมูลอีก 😵(คือในที่สุดพวกเราก็ผ่านมันมาได้ เยี่ยมจริง ๆ เยี่ยมจริง ๆ เยี่ยมจริง ๆ!!!)
ไปอ่านกันเลยจ้าาา read the blog: here 😍

🗣ภาพซ้าย: สภาพตอนสอบ oral exam เสร็จ และวันนั้นได้นอนมาแค่ 4 ชม. แต่พอสอบเสร็จได้ B+ ก็ดีใจนะ มัน relieved มากกกกกก

🥶ภาพกลาง: ตอนรอหน้าห้องที่ต้องเข้าไป present research poster กับท็อปและกัส สรุปออกมาคว่ำ คือได้ C เพราะสลับ method กับ discussions แต่วันนั้นไม่โดนบ่นเลย

😎ภาพขวา: ทุกครั้งที่เรียนเจอรี่หรือพรีเซนต์/สอบอะไรเสร็จ เราต้องไปนั่งแทรมเล่น ไม่งั้นจะเครียดมากแล้วมันจะ nauseous ละอยาก throw up ทุกทีเลย นั่งแทรมทำให้เรา chillax มาหน่อยนึง

 
ตอนเรียน media psychology ที่ม.

4. Media Psychology and Audience Analysis (ICMC 205) 🗣: เราวกกลับมาเจออาจารย์มนอีกครั้งนึง หลักการสอนและเก็บคะแนนของเค้าจะคล้าย ๆ กับ intro to media com เลย คือมี participation, quizzes, media labs และ presentations ด้วย ตัวอย่างเนื้อหาที่เรียนก็จะมีพวก media literacy, social connection & capital, violence, depictions of beauty and sex, human behaviour on social media อะไรประมาณนี้ midterm เราทำ presentation เรื่อง the media effects of advertising from psychological perspectives, how beauty standards are portrayed in the media

อาจารย์มนก็เป็นคนที่สอนดีมาก ๆ แล้วถ้ามีอะไรอยากขอคำแนะนำ คืออาจารย์จะเดินมาตลอดตั้งแต่หน้าห้องยันหลังห้อง เป็นคนใส่ใจเด็กดีมาก ๆ (อยากกลับมาเรียนด้วยอีก สนุกกกก) 😗 วิชานี้จะออกแนวผูกเรื่องมีเดียไปกับจิตวิทยา คือมีเนื้อหาจิตวิทยาขั้นต้นด้วย จิตวิทยาในสื่อด้วย และก็การวิเคราะห์พวกผลลัพธ์ต่าง ๆ ด้วย ทำให้พอวิเคราะห์เหล่าท่านผู้ดูออก (ติดคำนี้มาจากพี่เอ็ด เสือร้องไห้ 555) ก่อนจะลงเนื้อหาอาจารย์มักจะให้ทำ opening exercises ทุกครั้งก่อนเรียน เพื่อเป็นการ brainstorming ใน GG Classroom ก่อน บางทีก็ทำคู่ บางทีก็ทำเดี่ยว บางทีก็ทำ 3 แต่ไม่เกิน 4 คน จากนั้นก็เรียนเนื้อหาประมาณ 2 ถึง2 ชม.ครึ่งแล้วแต่ขอบข่ายเนื้อหา จากนั้นก็ทำ media labs กับ activities ที่เป็นงานกลุ่ม (เราอยู่กับจ๋า กัส มอส) ทำเสร็จแล้วก็ออกมา present ให้จารย์กับเพื่อนในคลาสฟัง ส่วน quiz นั้นเก็บ 2 รอบ quiz แรกเราได้ 29 จาก 32 และ quiz 2 เราได้ 30 แต่ไม่รู้ว่าคะแนนเต็มมัน 32 หรือ 35 เพราะจารย์ไม่ได้บอกคะแนนเต็ม แต่เราจำได้คร่าว ๆ แค่นี้งับ

※ ส่วน final เราจะแปะตัวอย่างงานไว้ให้เลย เพราะเราทำเรื่อง rape culture and sexual violence portray on thai soap operas และมี research การเก็บความคิดของผู้ดูละครไทยด้วย อ่านที่นี่ เลยจ้า 😊 
(อาจารย์มนต้องภูมิใจในตัวหนูค่ะ 5555555 🤣)  
 

5. Basic Acting (ICMC 206) 🎭: วิชานี้เป็น studio class ล้วนเลย คือเรียนปฏิบัติทั้งหมด ตั้งแต่ 8.30-16.30 หรือบางทีก็ 17.00 คลาสนี้คนเรียนจะไม่เกิน 20 คน เพราะ seats มีแค่นี้ วิชานี้เราเรียนจบหลังวิชา media com อื่น ๆ เพราะว่ามันเป็นวิชา studio แล้วช่วงต้นเทอมตอนเดือนมกราคม 2021 ไม่สามารถกลับไปเรียนที่คณะได้ ทำให้ต้องเลื่อนคลาสออกไปจนกว่าคณะจะอนุญาตให้กลับไปทำการเรียนการสอนที่ม.ได้อีกครั้ง เราเรียนกับอาจารย์หนิง อาจารย์หนิงเป็น full-time lecturer ที่จุฬาด้วยเหมือนกัน แล้วตอน final เราก็โดนกลับมาเรียนออนไลน์อีกครั้ง แต่ตอนซ้อมกับสอบเรากับนัทเล่นบทในเรื่อง Carrie (เราเป็น Carrie White ส่วนนัทเป็น Margaret White) นัทเลยให้เราไปสอบที่บ้านนัทแล้วให้ใช้ zoom หาอาจารย์อีกที เพราะถ้าต่างคนต่างออนไลน์มันเล่นยากมาก - วิชานี้ตอนเรียนครั้งแรก: คืออาจารย์ให้นั่ง open up เล่าเรื่องส่วนตัวของตัวเองที่ไม่คิดว่าจะเอามาพูดต่อหน้าคนแปลกหน้ามาก่อน ก็คือต่างคนเล่าต่างคนมีน้ำตา บางคนฟังคนเล่าแล้วน้ำตาตกก็มี เพราะบางเรื่องมัน related กันได้ (ไอเรามันคน sensitive อะแก คือนั่งฟังเรื่องใครก็ร้องไห้ไปหมด พอใกล้จะหยุดได้ มันต้องมีคนทำให้ร้องไห้ต่อ เหนื่อยมากวิชานี้ 5555 เหนื่อยกับการร้องไห้ 5555) แล้วคลาสเรามีแต่ประเด็นหนัก ๆ กัน วันนั้นคือเลิกบ่าย 3 อะ เพราะมันต้องพักจริง ๆ ไม่งั้นมันหนักมาก ๆ อะ

- ถัดมาก็จะเป็น monologue: คือแสดงต่อหน้าเพื่อน เราแสดงเรื่องสิ่งที่เราอยากจะบอกอากง (เพราะเค้าไม่อยู่ให้เราบอกแล้ว) กับสิ่งที่พูดไม่ได้ต่อหน้าอาโผ่ (บ้านเราจีนแคะอะ คนอ่านอาจจะงง จริง ๆ คืออาม่าหรือย่านั่นแหละ) เราอินกับสิ่งนี้มาก ทำให้ตอนที่เราแสดงมันเรียลจริง ๆ จนแอบเห็นเพื่อนร้องไห้ตาม 5555 แต่มันก็เศร้าจริง ๆ เพราะหลังเราแสดงเสร็จเราก็หยุดร้องไห้ไม่ได้ แล้วครึ่งบ่ายก็คือมาเป็นแสดงละครสด กับนัทแล้วก็กัส ก่อนหน้าแสดงทุกคนต้องเขียนประโยคคนละ 3 ประโยคพับแล้วเอาไปให้อาจารย์ จากนั้นคือเราต้องสร้าง situation ขึ้นมา แล้วแสดงต่อไป จากนั้นอาจารย์จะหยิบกระดาษที่พับแล้วระบุตัวให้เอาประโยคพวกนั้นมา fit ใน conversations ของเราแล้วก็ต้องเล่นต่อไปจนจบให้ได้ ได้ประโยคคือปั่นโคตร เช่น bit*h, please... buy your personality (อย่าให้รู้นะว่าใครเขียน 5555)

- ถัดมาเป็นการสอบพวกการแสดงว่าเรา in a hurry และทำของหายจริง ๆ (lost & found): เราจะทำยังไงบ้าง หลัก imaginary เราดีขนาดไหนถ้าลืมเอาของมาแล้วมีคนบอกให้เราช่วยบอกทางของที่เราเก็บไว้เพื่อที่เค้าจะเอามาให้เรา (คือทำเหมือนคุยโทรศัพท์ แต่ต้อง imagine เองว่าคนที่คุยเค้าตอบอะไร เราจะอธิบายยังไง โดยมีเวลาให้แค่ 3 นาทีเท่านั้น) และก็เลือก play พร้อมมา reading the script ซึ่งเรา นัท กัสเลือกเล่น play เรื่อง "on tuesday" เราต้องศึกษาตัวละคร และตีความตัวละครมาเอง พร้อมตอบคำถาม 50 ข้อเกี่ยวกับตัวละครของเราโดยใช้จินตนา as you're that character จริง ๆ

- อาทิตย์ถัดมาคือเล่น play จริง ๆ เลย เราเล่น on tuesday กัน: เราเป็น Maia, นัทเป็น Iris, กัสเป็น Claire คือต้องจำ script ให้ได้ทั้งหมดและต่อให้ถูก เล่นให้ถูก ฟีลต้อง connect กันจริง ๆ ให้มันดูเหมือนไม่ใช่การแสดงอะ ของเราตอนนั้นมีปัญหาเพราะบทเรามันยาวแบบยาวมาก จนเราจำ script ไม่ทันใน 1 อาทิตย์ อาจารย์หนิงเลยให้เราตัดบททิ้ง เราจำบทใหม่ใน 2 ชม. แล้วแสดงภายในวันนั้นเลย ส่วนเพื่อนเราคือนัทกับกัสจำกันทันเพราะบทมันเยอะ แต่น้อยกว่าของเรา ตอนแรกต้องเล่น 2 รอบตอนบ่าย เพราะตอนนั้นเราติดตอนเช้าทำให้เราเล่นได้ไม่จบ แต่ตอนบ่ายกลุ่มเราเล่นรอบเดียวแล้วผ่านเลยก็เลยไม่ต้องเล่นรอบที่ 2 แล้ว

- มาเตรียม final: ก็คือเราต้องตอบคำถาม 50 คำถามเกี่ยวกับตัวละคร Carrie White ตาม interpretation ของเรา แล้วตอนบ่ายก็กลับมา read the scripts พร้อมนัทกับอาจารย์หนิง แต่รอบนี้มันผ่าน zoom อาจารย์เลยให้ hide หน้าตัวเองจากใน zoom ทำให้เราไม่เห็นหน้าตัวเองใน zoom พอเล่นเสร็จอาจารย์ก็บอกว่า เออ พวกเราเล่นแล้วมันดู real ดู connect กับตัวละครจริง ๆ เลยให้ไปจำบทได้เลย แล้ววันพุธค่อยถ่ายวิดีโอมาให้อาจารย์ดู และวันเสาร์ก็เข้า zoom อีกทีนึง

- ตอนสอบ final: คือเรากับนัทก็นัดไปที่บ้านนัทเพื่อไปถ่ายซีนนั้นเลย เซ็ทซีน เซ็ทโต๊ะกินข้าว เอาพายมาจริง ๆ นัทสาดน้ำจริง เราโดนสาดจริง นัทมาเขย่าตัวจริง ๆ คือใจต้องมา ต้องอินแล้ว นาทีนั้นอะ ถถถ 😂 แล้วก็อัดวิดีโอส่งอาจารย์ แล้วอาจารย์ก็ดู อาจารย์บอกว่าจริง ๆ อยากได้ long shot แต่ที่นัทเป็นคนแพลน shooting และจารย์บอกว่าการตัดก็ตัดไป ไม่ผิดเงื่อนไขอะไร (นัทตัดเร็วมากก) เขาบอกว่าเขาชอบมาก เหมือนทำเป็นละครเลย 5555 ดูจบอาจารย์ก็บอกว่า "จริง ๆ จากที่ดูมาตั้งแต่วีคแรกจนวีคสุดท้าย ถือว่าพัฒนาการมาดีมาก ๆ แล้วในคอร์ส basic acting ครูเชื่อว่าพวกเธอสามารถพัฒนาการแสดงออกไปได้ไกลมากกว่านี้อีก วันนี้ที่ทำออกมา... ครูว่าดีมาก ๆ แล้ว" (คือไม่โดนติอะไรเลยตอน Final เพราะโดนไปหมดแล้วตอน Polishing กับ Rehearsal 555555)

Basic Acting ตอนสอบเรื่อง Lost & Found

วิชานี้ถ้าว่าสนุกก็สนุก แต่บทจะเครียดก็คือมันเครียดมาก ๆ เลย

แต่ก็ได้ความรู้มาหลายอย่างอยู่เหมือนกันนะ

※ ปล. ที่ MUIC จะมีอาจารย์จากจุฬามาช่วยสอน part-time บ้างอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจถ้ามีอาจารย์จากจุฬามาสอนบ้างจ้า

 

(ให้น้อง ๆ ที่สนใจ BBA จงมาอ่าน อย่าทอดทิ้งเพื่อนเรา)

สวัสดีจ้า เราชื่อダン นะ มารีวิวสาขา BBA Marketing จ้าาาาา 🛒


🙋🏻‍♂️ตอนนี้ก็เข้าเทอมที่ 3 (ปี 1 เทอม 3) ที่ MUIC แล้ว (แม้จะยังเหมือนอยู่บ้านก็เหอะ 😂) ก็รู้สึกว่าทำเต็มที่แล้วนะ สำหรับทุกอย่าง ตั้งใจเรียนตั้งใจสอบ หากิจกรรมทำ ปกติเป็นคนใช้ชีวิตเต็มที่อยู่แล้วด้วยมั้ง

- เรียน เมเจอร์ Marketing นะ เข้าเทอมนี้เข้า core course แล้วนะ เก็บ gen ed จบหมดแล้ว เพราะเรียน 5 ตัวเต็มทั้งสองเทอมที่ผ่านมาเลย

- gen ed: เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้ตัวที่อยากได้เท่าไหร่ เพราะตอนลงทะเบียนคือลงไม่ทัน ไม่สิ คือแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเล้ยยย (คนเก่าเขาทำไว้ดี งี้ปะ 5555 แซวเพื่อน ๆ) คือเต็มตั้งแต่รอบก่อนเราจะลงอีก แต่ก็ผ่านมาได้ คือ gen ed ต้องตามสไตล์อาจารย์อ่ะ สำหรับเรานะ ต้องเขียนตอบอะไรที่อจ.พูดบ่อย ๆ ไรงี้ แบบเน้น หรือชื่นชอบ 555 จริง ๆ พวก gen ed มันสะเปะสะปะแหละ บอกไม่ถูก คือหลักในการทำให้เอคือดูว่าอาจารย์เน้นตรงไหน ก็จำตรงนั้น แล้วเขียนตอบก็เขียนตรงนั้นเยอะ ๆ 555

- course load: ก็ต่างกันไปนะ สำหรับบางวิชา แล้วแต่อาจารย์เลย อาจารย์บางคนเค้าเห็นค่าคะแนนเยอะมาก แบบทำงานแทบตาย ถึงจะได้เปอร์เซ็นต์นึง

- จัดตารางเวลา: จัดตารางเวลาหรอ... เราก็พยายามจัดแหละ แต่สอนพิเศษเด็กก็หยุดบ่อย หลักง่าย ๆ สุดนะเราว่า... ต่อไม่ได้สอนพิเศษก็ใช้ได้ คือพอได้งานอ่ะ รีบทำเลย ทำเสร็จ ๆ ให้จบเร็วที่สุด ดีสุดละ ชอบความรู้สึกอิสรภาพนะ 5555 แต่บางทีงานกลุ่มก็ต้องรอกลุ่ม อิงกลุ่ม แต่ก็เราก็ชอบแอบไปกดดันกลุ่มให้รีบเริ่มทำงาน


🤦🏻‍♂️Gen Ed ลงไปครบแล้วนะ จะลองรีวิวคร่าว ๆ บางวิชานะ ที่แบบอาจารย์คนเดียวสอนทุกเซคและ ไม่มีหลายเซคมากกกก:

ICGH115 Cinematic: วิชาดูหนังอ่ะ วิเคราะห์หนังหลายอย่าง เปิดมุมมองนะ คือดูเลคเชอร์ จดเลคเชอร์ แล้วก็ตอบไรที่เค้าสอน พูดบ่อย ๆ ไรงี้ คือปกติเดิมไม่ใช่คนดูหนังเลย แต่ก็ลงนะ ไม่คิดว่าจะรอดด้วย แต่คือเออง่ายกว่าที่คิดนะ งานไม่เยอะมาก มีงานกลุ่มทุกอาทิตย์ทำในคลาส ควิซบ้าง แล้วก็สอบมิดเทอมไฟนอล เขียนเยอะ ๆ เขียนที่เค้าพูดเยอะ ๆ ก็รอดได้ไม่ยาก

ICGN115 Human Diversity and Evolution: วิชานี้จำเยอะมาก แบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรกเป็นอาจารย์คนนึงสอนเรื่องพวกวิวัฒนาการจากลิงสู่คนไรงี้ จำเยอะมาก แต่สอนสนุกนะ เราชอบอ่ะ แบบเออเข้าใจมนุษย์มากขึ้นเลย แต่จำเยอะมากอ่ะตอนสอบ แบบเค้าไม่ค่อยเน้นไรมากเป็นพิเศษ จับจุดยาก อีกพาร์ทเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ใช้กับมนุษย์ ชีวะหน่อย ๆ ใส่ใจทำงานละเอียดหน่อย แล้วก็ฟังที่เค้าเน้น ๆ อะออกสอบ

ICGS121 Abnormal Colleages: How to deal with: วิชานี้คล้าย ๆ Intro to Psychology อะ สอนโรคทางจิตวิทยาหลายโรค อันนี้ใช้คอนเซปเดียวกับ gen ed อื่น ๆ ที่บอก คือฟังว่าอาจารย์เน้นตรงไหนอะ แล้วก็จำไปเขียน ออกสอบแน่ ๆ แต่ก็เนื้อหาแอบเยอะนะ แต่ถ้าอ่านหมดที่เค้าเน้น ก็พอได้แหละ พอรับมือได้อยู่ พวกงานเขียนระหว่างเทอม ส่งไปให้เค้าคอมเม้นก่อนส่งจริงอะ จะได้ได้คะแนนดี ๆ

ICGS124 Global Tourism: จริง ๆ วิชานี้ไม่ค่อยมีไรมากอ่ะ เหมือนจำทุกอย่างที่เค้าพูดไปสอบ เค้าจะพูดเลยว่าออกสอบอะไร คำตอบประมาณไหน อาจจะมีคิดนิดนึง หรือแบบให้ความคิดเห็นไรงี้ สำคัญก็คือต้องจดที่เค้าสอนให้ทัน จดเยอะอยู่ แล้วเวลาสอบหรือทำงานเขียน เน้นปริมาณเป็นหลัก เขียนให้เยอะ ๆไว้ก่อน คะแนนจะดี โปรเจคกลุ่มก็ไม่หนักมาก เค้าช่วยแนะนำอยู่เรื่อย ๆ


✖️ประมาณนี้จ้าที่เหลือก็อีซี กับเลขคอนเทม มีหลายเซคให้เลือกเรียน แล้วแต่อาจารย์

- core course: ก็เรียนเหมือนกันประมาณเกือบ 20 วิชาสำหรับ 4 majors แล้วก็แยกย่อยไปเรียนวิชา major ตัวเองต่ออีกประมาณ 5 วิชา ประมาณนี้จ้า

- เพื่อนใน Marketing: ตอนนี้ก็มีประมาณเกือบ 10 คนอ่า ไม่รู้เยอะหรือน้อย 5555 อาจจะเพราะยังไม่ได้ไปม.ด้วยแหละ major อื่นใน BBA ก็รู้จักนะ ได้มาจากตอนเรียนเลขคอนเทม กับ gen ed บางตัวนะ มีประมาณ 15 คนได้มั้ง เราเป็นคนไม่ค่อยเฟรนลี่นักนะ ถ้าแบบไม่สนิท เลยแบบอาจจะเพื่อนไม่เยอะ 5555

 

คำแนะนำเพิ่มเติมจากตัวมี่เองนะอันนี้ 🤗

ตึกอทิตและพระอาทิตย์ที่ใกล้ตกดิน 🌅

- ขออธิบายก่อนว่า MUIC จะมีเรียน Gen Ed (เรียกกัน เจ็นเอ็ด ๆ) คือ General Education หรือวิชาพื้นฐานทั่วไป ซึ่งก็จะมีหลายแขนงด้วยกัน เพราะตัว MUIC เองเป็น (International) Liberal Arts College ที่นำตัว Liberal Arts Education ที่ใช้ในระบบมหาวิทยาลัยอเมริกันที่เปิดเฉพาะตัว Undergraduate อย่างเดียว ต่างจาก Public Universities ในอเมริกาคือจำนวนเด็กนักเรียนแบบทั้งหมดและตัว ratio ครูต่อนักเรียนจะน้อยมาก ๆ เพราะเปิดแค่ UG อย่างเดียว ในขณะที่พวก Public U จะเปิดตั้งแต่ Undergraduate, Postgraduate, Master's, PhD ทั้งแบบ Taught และ Research

- Liberal Arts College ในอเมริกาจะมีเด็กเรียนไม่เกิน 5,000 คน เพราะเปิดแค่ UG ส่วนของ MUIC ก็เรทประมาณนี้เช่นกัน (ถ้าจำไม่ผิดตอนนี้มีกัน 4,800 คน)

- Public Universities ในอเมริกาจะมีเด็กเรียนที่ประมาณ 10,000 คนถึง 32,000 คน แล้วแต่ขนาดความใหญ่ของ U นั้น ๆ

- MUIC เป็นหนึ่งในคณะของมหาวิทยาลัยมหิดลจริง สิ่งที่เราเรียนจะเรียกเป็น Major หรือสาขากัน (เช่น เรียนอยู่คณะวิทยาลัยนานาชาติ สาขาสื่อและการสื่อสารค่ะ) แต่แทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยในเรื่องของหลักสูตรการเรียนการสอน คือแค่เรื่องระบบเทอมก็คนละระบบกันแล้ว MU ใช้ semester, MUIC ใช้ trimester

*แต่ก็มีบางวิชาที่เราเรียนอย่าง Audio Communication ของ Media Com (core subjects) ที่ได้อาจารย์ออมจากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ (College of Music, Mahidol University) มาสอน แต่ภาษาอังกฤษถือว่าสื่อสารรู้เรื่องนะ ไม่ได้มีปัญหาจ้า คือก็จะไม่ได้ fluent เท่า native speakers ขนาดนั้น แต่ฟังแล้วเข้าใจว่าอาจารย์พูดอะไร และเนื้อหาเรื่องอะไร เขาสอนอะไรเราอยู่ เพียงแต่ตอนฟังจะต้องประมวลผลเยอะกว่าจารย์ native หน่อย เพราะบางทีสาส์นที่จารย์พยายามส่งมันทำให้เราลืมช่วงก่อนหน้าไปนิดนึง นั่งนึกสักพักก็จะนึกออกเองจ้า นี่คือการฝึกใช้ภาษาอังกฤษให้ได้แบบหลายรูปแบบด้วย เพราะภาษาอังกฤษคือภาษากลางและคนใช้เป็นภาษาที่ 2 เยอะ เราก็จะเจอ learners หลายแบบน่ะ ไม่อยากให้ปิดใจตรงนี้น้า

- ต่อจากข้อข้างบนตอนนี้ MUIC มีสาขาน้องใหม่อย่าง B.A.Sc. Creative Technology ซึ่งเป็นหลักสูตรพัฒนาร่วมกันระหว่าง MUIC, ICT และ College of Music เพิ่งเปิดใหม่ปีการศึกษานี้ (2563) ถ้าใครชอบเรียน Arts and Science ก็ลองสมัครดูนะ

- ตัว Liberal Arts Education จะเป็นการสอนแบบคลาสเล็ก ที่นี่ถ้าบางวิชาคนเรียนน้อยจริง ๆ มีตั้งแต่ 6 คนจนถึง 12 คน (แต่เห็นบางคลาส 3 คนก็เปิด ก็อบอุ่นดี 5555) คือ maximum ที่สุดคือ 40 คน ไม่มี overcapacity เลย (ตอนนี้ strict มากเพราะ COVID) ส่วนวิชาไหนที่ practical เยอะ ๆ (ช่น Basic Acting ของสาขาเรา จะรับแค่ 20-25 คนเท่านั้น จะไม่มีวิชาแบบ lecture-based ทั้งหมดหรือวิชาที่เรียนกัน 200-300 คน

- ที่นี่เรียนแบบ lecture, discussions, activity, project, academic papers and research, presentation (mid-term, final) เยอะมาก คือวิชานึงใช้ทักษะการเขียนเยอะมาก ๆ และทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษก็คือสำคัญมาก (active skills) ถึงจะมีเด็กไทยแต่ก็เป็นเด็กไทยที่พูดภาษาอังกฤษกัน คือต้องกล้าที่จะเริ่ม conversations, discussion กะเพื่อนในห้องด้วยอะ แต่บางทีถ้าไม่กล้าพูดกันเลยก็มีนะแต่น้อยอะ เพราะถ้าต้องพูดจริง ๆ ก็คือต้องพูด 555 (งงปะ)


- จบเรื่องการรีวิววิชาเรียนภายใน 1 ปีการศึกษาทั้งหมดแล้วจ้า 🥲(เกือบตายพิมพ์เยอะมาก) -

 

🎬 สำหรับ media com concentration ตัวมี่เลือก creative content แล้ว ส่วน major elective เลือก film production (ตอนทำ thesis อาจจะต้องอยู่ตำแหน่ง DOP หรือ Director of Photography) โดยจะมีเรียน film screenwriting, film pre-production, cinematography และ film post-production นั่นเองจ้า


📚โดยเทอมถัดไปมี่จะต้องเรียน EC 3, Entertainment Management, Marketing & Finance, Art of Storyboarding, Southeast Asian Creative Content Analysis และ Film Screenwriting รอติดตามการเรียนและรีวิวจากมี่ได้เลยจ้า 😉

✨อัพเดท: ตอนนี้จบปี 2 ละ เดี๋ยวจะมารีวิววิชาให้อ่านกันนะ แต่เทอมนี้ Art of Storyboarding ไม่เปิด เลยได้เรียน Visual Storytelling แทนค้าบ เทอมนี้เครียดมาก บอกไม่ถูกเลอ 5555 (ในเลข 5 มีหยดน้ำตาและความเหนื่อยซ่อนอยู่) 🙆🏻‍♀️


🤭เดี๋ยวบล็อคถัดไปจะมารีวิว 1 วัน as an MUIC student จะรีวิวเรื่องการไปเรียนโดยใช้ salaya link, การนั่งแทรม, การตะลุยม. รวมถึงการหาข้าวกินในม.และตรงข้ามม.ด้วยจ้า


😎บล็อคนี้เป็นความคิดเห็นของเรา และสิ่งที่เราเจอมาจริง ๆ จากประสบการณ์ของชีวิตเราเลย เราแค่พยายามจะเล่าในหลาย ๆ มุมมองและอิงตามความจริงที่เรารู้และพบเจอน้า บางสิ่งบางอย่างน้อง ๆ หรือเพื่อน ๆ หรือพี่ ๆ อาจจะไม่ได้ประสบพบเจออะไรแบบเราก็ได้ ฟังหูไว้หูแล้วค่อยมาพิจารณาดูเอาเองนะค้าบ ประสบการณ์ของคนเรามันก็จะต่างกันออกไปอยู่แล้ว เราไม่ได้ bias อะไรน้า หวังว่าจะเข้าใจว่าบล็อคเราเป็น opinion และ experience blog เน่อ ไม่โกรธกันเนอะะะ 😝


💕 Wanna keep in touch?

- FB Page: Mie as a media com student - ชีวิตมี่เมื่อเรียนมีเดียคอม

มีคำถาม อยากมาชวนคุย อยากแนะนำ topic ที่อยากให้ทำก็มาคุยกัน เม้าท์มอยอะไรก็ตาม มาในนี้ได้เลยจ้า แต่ฝากกดไลก์หรือกดติดตามเพจไว้ด้วยน้า อิอิ 🥲

- IG: Miedya_thetraveller

อันนี้เอาไว้ลงรูปที่อยากลง รูปเที่ยว รูปวิว รูปอากาศ รูปท้องฟ้าไรงี้ ไม่มีอะไรมากมาย 555 😗 จะดีมากถ้าจะช่วยเราฟอลหน่อย อิอิ


Published: 5 April 2021, 17.16 or 5.16 PM (BKK Time, GMT+7)

Updated: 26 July 2021, 01.38 AM (BKK Time, GMT+7)


วันนี้ขอลาไปก่อนละจ้า ขอบคุณที่มาอ่านบล็อคกันมาก ๆ นะคะ 😍

ยินดีกับน้อง ๆ ที่เป็น (อนาคต) เด็ก MUIC ด้วยน้า 😊

congrats to all of you, and welcome to MUIC (or media com) 🥳

– Mie Dyasha –

7,097 views

Comments


Commenting has been turned off.
bottom of page