ประสบการณ์การเข้า MUIC ของมี่เป็นประสบการณ์ปี 2019 สำหรับการยื่นครั้งแรก (628 เทอม 1) และครั้งที่ 2 เป็นช่วงปลายปี 2019 เพื่อเข้าเรียนเทอม 3 ตอนเดือนเมษาปี 2020 (628 เทอม 3) นะคะ 🥹🥰
ข้อมูลบางอันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แนะนำให้ติดตามผ่าน MUIC official website ดีที่สุดนะคะ
ขอเปลี่ยน Cover Image หน่อยน้าาา 😊
มาเริ่มกันเลย!
สวัสดีค่ะทุกๆ คน :) วันนี้มี่กลับมากับการสอบเข้าเพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในหลักสูตรนานาชาติหรือ International Programme ที่ "วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล" หรือคนอาจจะเรียกว่า "MUIC" (มูอิค/มิวอิค/เอ็มยูไอซี) ย่อมาจาก Mahidol University International College ในประเทศไทยนั่นเองค่ะ ^^
สำหรับตัวมี่เอง มีโอกาสได้สอบเข้าที่นี่ถึง 2 รอบเลยค่ะ โดยรอบแรกมี่ใช้วุฒิ GED หรือ General Educational Development คือการสอบเทียบวุฒิของระบบอเมริกัน (แต่สละสิทธิ์เพื่อกลับมาศึกษาต่อชั้นม.6 ให้จบ) และอีกรอบโดยการใช้วุฒิการศึกษาตอนปลาย
หรือวุฒิม.6 เหมือนเด็กโรงเรียนไทยปกตินั่นเองค่ะ เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ หรือน้องๆ ที่จะสอบเข้าที่นี่ในอนาคตที่นี่ได้อ่านกันค่ะ
สำหรับการสอบเข้าที่นี่หลักๆ จะใช้แค่ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (IELTS, TOEFL IBT หรือ Pearson PTE Academic) และการวัดทักษะทางคณิตศาสตร์ (SAT Math หรือ ACT ก็ได้) สำหรับรายละเอียดจะขอพูดถึงตรงข้างล่างนะคะ และจะพูดถึงการปรับพื้นฐานที่เรียกว่า Pre-college (PC) สำหรับภาษาอังกฤษและ The Mathematical Foundations Programme (MP) สำหรับวิชาคณิตศาสตร์ในสาขาที่ต้องใช้เลขด้วยค่ะ
โดยที่มี่เลือกเข้าที่ MUIC เพราะเป็นนานาชาติในไทยที่เป็นระบบนานาชาติอย่างเต็มสูบมากกว่าที่อื่น ๆ ค่ะ และชื่อเสียงของฝั่งนานาชาติมีมายาวนานมากที่สุดค่ะ (เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเราเองนะคะ ไม่ต้องมาทะเลาะกับเราค่ะ 5555)
ปล. น้อง ๆ ที่จะเข้า MUIC หรือเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่เรียนอยู่ MUIC มารวมตัวกันที่นี่ได้เลย แต่ต้องตอบคำถามพี่ให้ครบ 3 ข้อและกด agree กฎกลุ่มด้วย ไม่งั้นไม่รับทุกกรณีเด้อ อย่าคิดแต่กดส่ง ๆ มาละเราให้เข้าหมดนะ เรา decline รัว ๆ อย่างเดียวเท่านั้นจ้าเข้ามารวมตัวที่ กลุ่มนี้ ได้เลยนะคะ
นอกจากนี้จะมาแชร์ประสบการณ์การยื่นเข้าศึกษาต่อที่ Macquarie University (Sydney, Australia) 🇦🇺 และ Victoria University of Wellington (Wellington, New Zealand) 🇳🇿 ด้วยค่ะ แต่คงได้เรียนในไทยก่อน 555 แล้วค่อยไปเรียนต่อต่างประเทศตอนป.โทแทนค่ะ ที่บ้านบอกว่าจะเรียนโทกี่ใบ จะต่อเอกไปเลยถ้าเรียนไหวก็ไม่มีใครว่าค่ะ อิอิ และเรารู้แล้วว่าตอนโทเราจะต่ออะไรที่ไหน และ MUIC คงสามารถพัฒนาศักยภาพของเราให้ไปถึงเป้าหมายของมี่ในอนาคตได้ค่ะ
สำหรับ 2 มหาลัยในต่างประเทศที่มี่สมัครก็คือ
1. Victoria University of Wellington, Wellington, New Zealand: Bachelor of Arts in Film and Theatre 🇳🇿
2. Macquarie University, Sydney (North Ryde Campus), New South Wales, Australia: Bachelor of Media and Communications in Screen Practice and Production 🇦🇺
😇 สามารถคลิกเพื่อเข้าไปอ่านบล็อคได้ ที่นี่เลยค่ะ หรือ copy: https://www.askmie-dyshamasixth.com/post/how-mie-applied-to-macquarie-university-and-victoria-university-of-wellington
ลิงก์นี้ได้เลยค่ะ
บล็อคอัพเดทต่าง ๆ เกี่ยวกับ MUIC และการรีวิววิชาของ media com 🤓
อะ เกริ่นกันไปแล้วสำหรับเรื่องที่จะมารีวิววิชาของสาขา media and communication ที่ muic มี่ขอมาแปะลิงก์สำหรับบล็อคที่เคยเขียนไปบ้างแล้วที่เกี่ยวกับการเตรียมตัวเข้า muic, รีวิววิชาเรียนของ media com (part 1), บล็อคที่เคยทำที่เป็น project เกี่ยวกับ media com และจะเพิ่มเติมให้สำหรับน้อง ๆ ที่สนใจจะ transfer จาก muic ไปต่างประเทศ (อเมริกา) ด้วยก็แล้วกันค่า 😎
🎓 ชีวิตของมี่กับการเรียน MUIC Media Com (นิเทศอินเตอร์) ฉบับเด็กเก็บเครดิตนรก (part 1) พร้อมสอนวิธีการเตรียมตัวลงทะเบียน MUIC SKY สำหรับน้อง ๆ ที่เป็นเด็กใหม่่ดและรีวิววิชาต่าง ๆ ของ Media Com (old curriculum) ตั้งแต่ปี 1 เทอม 1 ถึงปี 2 เทอม 2 พร้อมรีวิว gen ed จากเพื่อนที่เรียน BBA (ใครสนใจจะเข้า MUIC หรือ Media Com ห้ามพลาดนะคะ): ลิงก์
📷 ชีวิตของมี่กับการเรียน MUIC Media Com (นิเทศอินเตอร์) ฉบับเด็กเก็บเครดิตนรก (part 2) มีอธิบายเรื่องการเก็บเครดิตของทั้งเด็กหลักสูตรเก่าและใหม่ (638+), minor, รีวิว EC 3 (public speaking), วิชา Media Com core & film production major electives และการทำงานกลุ่ม: ลิงก์
🖲 ชีวิตของมี่กับการเรียน MUIC Media Com (นิเทศอินเตอร์) ฉบับเด็กเก็บเครดิตนรก (part 3) รีวิว 10 วิชาจุก ๆ เกี่ยวกับ creative content concentration & film production major electives และ 3 วิชา gen ed (french 5, german 1, human geo): ลิงก์
📚 ประสบการณ์โดยตรงที่มี่สมัครเข้าศึกษาต่อปริญญาตรีที่ Mahidol University International College (MUIC) โดยติด IC ทั้ง 2 รอบโดยรอบแรกใช้วุฒิ GED และรอบที่ 2 คือวุฒิม.6 ในสาขา Media & Communication (MUIC Media Com) หรือนิเทศอินเตอร์: ลิงก์
📑 Mie's EC 2 argumentative essay, topic: "racial discrimination against non-native & non-white migrant teachers in Thailand": link 🗞 Mie's ICMC 204 (research methods & basic stats) group project, topic: "influential factors & cultural perspectives on Oscar-winning films: Parasite and Green Book": link
🗣 Mie's ICMC 205 (media psychology) group project, topic: "rape culture & sexual violence portray in Thai soap operas": link
🖥 Mie's ICMC 202 (media & cultural theory) group project, topic: "have you ever been (cyber) bullied?": link
🇺🇸 สมัคร as a transfer student (undergraduate) จาก MUIC ในฉบับเด็กฟิล์มไปที่ Maryville College (Tennessee) & The University of Idaho (Idaho), USA พร้อมได้รับ financial aid หรือทุนบางส่วนด้วย (แต่มี่ยังเรียนอยู่ที่ MUIC นะคะ): ลิงก์
*สำหรับเรื่องตัวอย่างงาน ให้ดูเป็นแนวทางเท่านั้น ไม่อนุญาตให้คัดลอก/ก๊อปงานทุกกรณี*
-----------------------------------------------------------------
ส่วนนี้จะเป็นลิงก์เพิ่มสำหรับใครที่สนใจจะอ่านบล็อคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเตรียมตัวสอบหรือเพื่อยื่นในการเรียนต่อต่างประเทศหรือหลักสูตรอินเตอร์ของมหาวิทยาลัยในไทยนะคะ 😊
🎬 การยื่นเพื่อศึกษาต่อในสาขา B.Media.Com Screen Practice & Production และ BA Film & Theatre ที่ Macquarie University (Sydney, Australia) & Victoria University of Wellington (Wellington, New Zealand): ลิงก์
🇬🇧 รีวิวการสอบ IELTS academic ด้วย overall 6.5 (each component 6.5 แต่ writing 5.5), การเตรียมตัวที่ Westminster International และการสอบ IELTS แบบ computer-delivered ที่ IDP Silom: ลิงก์
📨 25 facts ที่ต้องรู้เกี่ยวกับ IELTS Academic ก่อนสอบจริงและรีวิวการสอบ IELTS จากเพื่อนที่ได้ overall 6.5-7.0: ลิงก์
🐥 รีวิวการสอบ Duolingo English Test ฉบับปี 2021 ที่มี่ได้ 130/160 แต่ละพาร์ทไม่ต่ำกว่า 125 (ระดับ C1 Advanced) ค่า: ลิงก์
🇺🇸 รีวิวการสอบ Duolingo English Test ฉบับผู้มาก่อนกาล (สอบตอน 2018 ก่อนที่ DET จะถูกเอามาใช้ในไทยและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อย่างแพร่หลายตอนช่วงโควิด) ได้คะแนน 63/100 ในตอนนั้นหรือ 115/160 ในปัจจุบัน: ลิงก์
*แต่ตอนยื่นจริงที่ MUIC มี่ยื่น IELTS ค่า*
พื้นหลังการศึกษาและพื้นฐานภาษาอังกฤษของมี่ตอนมี่สอบเข้า MUIC ทั้ง 2 รอบ:
- เรียนโรงเรียนเอกชนคาทอลิกมา 12 ปี เป็นโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร (ไม่ต้องเดา เราไม่บอกจ้า 555) แผนการเรียนภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ไม่เคยไปแลกเปลี่ยนระยะยาวแต่เคยไปเรียนภาษาระยะสั้นที่ประเทศอังกฤษ (3 สัปดาห์) และนิวซีแลนด์ (1 เดือน) โดยเรียนหลักสูตรไทย โรงเรียนไทย ไม่ใช่ EP หรืออินเตอร์แต่อย่างใดค่ะ
- ภาษาอังกฤษจากการสอบ IELTS ได้ Overall 6.5, Listening 6.5, Reading 6.5, Speaking 6.5 แต่ Writing 5.5 ส่วนการสอบ IELTS รอบแรกของเรานั้นเราสอบเพื่อหาที่เรียนภาษาอังกฤษต่อนั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้นมันเป็นรอบแรกของเราจริง แต่เรายังไม่ได้รู้จักข้อสอบดีพอหรือเตรียมตัว/ทำแบบฝึกหัดอย่างทุ่มเทและจริงจังขนาดนั้น เราไปสอบเล่นๆ มากกว่าเพราะป้าเราเค้าบอกว่าไปสอบ IELTS เลยมันดีกว่าตรงที่เวลาจะหาที่ติวต่อ เค้าจะได้ไม่พยายามกดเลเวลเราให้ต่ำลงด้วยการใช้ Placement Test ของทางสถาบันค่ะ (แต่เราไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้นะคะ เพราะว่าบางคนอาจจะมองว่าเสียเงินเปล่าได้ และไม่ควรไปสอบถ้าไม่รู้จักข้อสอบจริงๆ ค่ะ) ใครอยากจะนับว่าเคยสอบมาแล้วก็นับไปค่ะ แต่ข้อสอบรอบแรกเราขอพูดตรงๆ ว่าครูที่เค้ารู้จักระดับภาษาของเรา (ทั้งคนไทยและต่างชาติ) และข้อสอบบอกว่ามันยังวัด Potential เราไม่เต็มที่ค่ะ
- ในด้านทักษะการเขียน (Writing Essay) ตอนมี่ขึ้นมาม.6 ที่โรงเรียนเราจะมีอาจารย์พิเศษมาสอนภาษาอังกฤษท่านนึงที่เคยทำงานที่ UN เรียนจบป.ตรีจากธรรมศาสตร์ สาขาวรรณคดีอังกฤษมาและได้ทุนเรียนต่อป.โทเต็มจำนวนที่ Rice University Texas ที่อเมริกาด้านการสอนภาษาอังกฤษ ตรวจงานเขียนเราแล้วให้ B+ ตลอดมาค่ะพร้อมกับ positive comments ก็เลยเบาใจได้แล้วด้วยส่วนนึง
- ในทักษะการพูดภาษาอังกฤษของเราหรือการสัมภาษณ์ไม่ได้เป็นปัญหาของเราค่ะ เพราะเคยได้ Cambridge: Preliminary English Test (PET B1) ได้ Full Score in Speaking 170 คะแนน เทียบเท่า IELTS 6.0 ค่ะและ IELTS Speaking 6.5 ซึ่งอยู่ในระดับ B2 Upper-intermediate to C1 Advanced ค่ะ
- ภาษาอังกฤษของมี่ดีพอที่จะสอบ GED (General Educational Development) หรือ US High School Equivalency Diploma ผ่านได้ในรอบเดียวหลังจากที่รุ่นพี่ที่เรียนมหาวิทยาลัยรัฐ หลักสูตรนานาชาติแต่เรียนจบไปแล้ว (เคยเรียนนิวซีแลนด์ตอนม.ปลาย) มาช่วยติวให้ แม้จะไม่เคยไปแลกเปลี่ยนที่สหรัฐอเมริกาหรือเรียนต่างประเทศมาและเรียนโรงเรียนไทย หลักสูตรฝั่งไทยมาตลอดชีวิตค่ะ
เกริ่นก่อนเลยนะว่า... มหาลัยทั้งหมด 3 ที่ของมี่ มี่เลือกมาแนว ๆ Media หรือ Film หมดเลยนะ สำหรับรายละเอียดของ MUIC: Bachelor of Communication Arts in Media and Communication อ่านข้างล่างได้เลยค่ะ
(mini) รีวิวการสอบ GED จากเพื่อนร้ากกก จอมคิ้กค้ากกก ทาช่านั่นเอง! 🙆🏻♀️
สวัสดีค่ะ เราเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของบล็อค เลยได้นำประสบการณ์ในการสอบต่างๆมาแบ่งปันให้กับเพื่อนและก็ทุก ๆ คนที่อ่านค่ะ
การสอบ GED หรือ General Education Development เป็นการสอบเทียบเท่าการจบม.ปลาย (สายศิลป์สำหรับที่ไทย) หรือ High School Equivalency ของประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ ส่วนตัวเรานั้นมีจุดมุ่งหมายคือมหาลัยภาคอินเตอร์และมหาลัยที่อเมริกา จึงทำให้การสอบ GED นั้นไม่ได้ริดรอนสิทธิ์การเข้าศึกษาต่อในระดับมหาลัยค่ะ
ขอเกริ่นก่อนว่า GED อาจจะไม่ตรงกับจุดมุ่งหมายของคนที่ต้องการเรียนภาคไทย เรียนหมอ หรือคนที่ต้องการจะไปเรียนต่อในหลักสูตรทางแถบอังกฤษ ยุโรป และเอเชียประเทศอื่น ๆ เท่าไหร่ ซึ่งอันนี้จะต้องขึ้นอยู่กันเคสของแต่ละคนค่ะ สามารถปรึกษากับทางเจ้าของบล็อคเพื่อคำแนะนำในการเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเองได้เลย
เหตุผลที่เราเลือกสอบ GED เพราะว่าที่บ้านมีปัญหาด้านการเงิน ทำให้ส่งเรียนต่อได้ค่อนข้างลำบากค่ะ (เราเรียนอินเตอร์ค่ะ) เราเลยเลือกที่จะสอบ GED ค่ะ ซึ่งถ้าเราจะยื่นที่อเมริกานั้น ก็อาจจะต้องสอบ SAT, ACT, หรือ AP เพิ่ม (GED อย่างเดียว มหาลัยที่สหรัฐไม่ค่อยรับนะคะ ต้องดูเกรดและคะแนนสอบเพิ่มเติมด้วย ยกเว้นด้านสายอาร์ทที่จะต้องใช้พอร์ทที่โหดกว่าที่ไทยค่ะ) และใช้ผลสอบภาษาทั้งอินเตอร์ในไทยและมหาลัยที่ต่างประเทศค่ะ เพราะฉะนั้น GED อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคนค่ะ
เราได้ลงสมัครสอบเมื่อประมาณเดือน 4 ปี 2019 ค่ะ เป็นการสมัครและไปสอบที่เราไม่ได้เตรียมตัวเพราะเราคุยกับที่บ้าน ตัดสินใจ แล้วสมัครเลย ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่เร็วและชี้ชะตาชีวิตเราเลยค่ะว่า สอบแล้วนะ ไม่ได้จบ Grade 12 แบบเพื่อนๆแล้วนะ เราสอบตอนกำลังจะขึ้น Grade 12 ค่ะ โดยเราสมัคร 3 วันก่อนไปสอบ วันเว้นวัน วันละ 2 วิชาค่ะ
1️⃣ วันแรก: Science & Math
วันแรกที่ไปสอบ เราได้ลงสอบวิทย์และเลขไปก่อนเลยค่า (จำไม่ได้ว่าอันไหนก่อน อันไหนหลังค่ะ) ซึ่งเราจะต้องเตรียมพาสปอร์ตไปสอบนะ เขาจะมีล็อคเกอร์ให้เก็บของ แล้วก็จะตรวจตัวเราเหมือนที่ตม.สนามบินเลยค่ะ ไม่จำเป็นต้องเตรียมเครื่องเขียนไปเลยค่า เราจำเวลาเป๊ะๆ หรือจำนวนข้อไม่ได้ค่ะ ในห้องสอบจะมีกระดานให้เขียนหรือทดด้วยค่ะ
🧪 วิทย์ก็จะเป็นวิทย์หลักๆเลยค่ะ Chemistry, Physics, Biology ส่วนใหญ่เป็นการวิเคราะ์ค่ะ เหมือนเป็นข้อสอบเน้นการวิเคราะห์ให้เป็นมากกว่าท่องจำค่ะ
🧮 เลขก็จะเป็นเลขพื้นฐานเหมือนกัน มีเครื่องคิดเลขในคอมให้ (น่ารักดี) มีสูตรให้ (ส่วนใหญ่) จะมีแค่ no calculator 5 ข้อแรกค่ะ
ส่วนตัวเราว่าไม่ได้ยากค่ะ เราคิดว่ามันเป็นเลขและวิทย์ที่เด็กฝั่งไทยน่าจะได้เรียนกันหมดแล้วตอน ม.4 เพราะเป็นพื้นฐานหมดเลย
2️⃣ วันที่สอง: RLA & Social Studies
วันนี้เราลงอังกฤษและสังคมค่ะ การเข้า ตรวจ เตรียมตัว เหมือนกันกับวันแรกเลยค่ะ
📖 อังกฤษ มีทั้งพาร์ทช้อยส์และเขียน ก็จะเป็นการอ่านบทความ เลือกคำตอบ แล้วก็เอสเสอันใหญ่ๆหนึ่งอัน แล้วแต่หัวข้อที่จะได้ค่า
🗃 สังคม จะเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติอเมริกามากกว่าค่ะ ส่วนตัวที่รร.เรา เราได้ลงคลาส World History แต่ไม่เคยเรียนเจาะจงของเมกาไปเลย แต่ส่วนใหญ่จะให้มาเป็นพารากราฟค่ะ เราใช้วิธีอ่านละจับใจความแทน (ไม่มีความรู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ในหัวเลย T^T) ทั้งข้อสอบ เราน่าจะรู้แค่เรื่องระบบการปกครอง วิชานี้ เราเรียนอินเตอร์มาแต่เรารู้สึกว่าภาษาในแต่ละ passage โหดในระดับนึงเลยนะคะ ใครที่จะไปสอบ ระวังวิชานี้ไว้ด้วยนะ
🔖 ผลสอบและสรุป :
เราสอบครั้งเดียวผ่านทุกตัวค่ะ ไม่ต้อง Re-test คะแนนเกิน 165 ทุกตัว ยกเว้นสังคมที่ได้ไม่ถึง (ทางGED เอง ถ้าคะแนนเกิน 145 ทุกตัว ถือว่าผ่านค่ะ ซึ่งตอนที่เราสอบ เราก็ผ่านเกณฑ์ที่มหาลัยในไทยที่เราจะเข้าตอนนั้นด้วย)
สำหรับตอนนี้ ให้เช็คเกณฑ์คะแนนกับทางมหาลัยก่อนนะคะ เห็นว่าปรับเป็น 165 ทุกตัวสำหรับเทียบในไทย บางมหาลัยปรับแล้ว บางมหาลัยดูตามวันสอบ บางมหาลัยเปลี่ยนตามกระทรวงเลยค่ะ
การสอบ GED ไม่ได้ยากค่ะ และเป็น Alternative way สำหรับการเลือกศึกษาต่อได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่ละเป้าหมายด้วยค่า
มี่ตอนสมัครเข้า MUIC รอบแรกด้วยวุฒิ GED
(⬇️ ลิสต์เอกสารที่มหาลัยขอเพื่อใช้ในการสมัครอยู่ข้างล่างจ้าาาาา ⬇️)
ตอนนั้นที่มี่เองไปยื่น คือวุฒิ GED มี่ได้มาตอนเดือนมิถุนายนหลังสอบวิชาสุดท้ายเสร็จแล้ว ทีนี้มีคนบอกว่าให้ลองไปสมัครดูมั้ยเผื่อว่าจะติดแล้วอยากเซฟเวลาเรียนไปจะได้เข้าเรียนมหาลัยไปเลย มี่เข้าไปสมัครตอนเดือนกรกฎาแต่สอบช่วงสิงหา ถ้ามี่เข้าตอนนั้น (เดือนกันยา) ก็จะได้เซฟเวลาและเรียนล่วงหน้าเพื่อนชั้นเดียวกันไปตั้ง 2 เทอม (มหิดลมี 3 เทอม ปิดเทอมไม่เหมือนชาวบ้านเค้า 555) เลยลองไปสมัครดู ก็คือเรายื่นคะแนน IELTS ไปแต่ว่า Writing เราได้ 5.5 แต่ทางมหาลัยขอทั้ง Overall และ Writing 6 (เด็กสมัครมหิดลส่วนใหญ่ตายตรง Writing กันหมด เพราะตัวคะแนน 6 สำหรับพาร์ทเขียนนั้นถือว่ายากสำหรับเด็กไทย แม้แต่เด็กนานาชาติบางคนได้ Writing 5.5 ยังมีเลย ส่วนเพื่อนเราที่เรียนต่างประเทศมาได้ Writing 5 กันก็มี) มี่ผ่านเกณฑ์ Overall แล้ว แต่ Writing ไม่ผ่าน สาขาที่มี่สมัครไม่ได้ขอ SAT Math/ACT มี่เลยไม่ต้องสอบเลขเพราะฉะนั้นมี่จะตอบไม่ได้เรื่องของการสอบเลขนะคะ ขอโทษด้วยค่ะ
เกณฑ์คะแนน IELTS มี่ผ่านเกณฑ์ตรง Overall แต่ตายตรง Writing ได้ 5.5 เลยสอบแต่ข้อเขียนของมหาลัยเพียงอย่างเดียวค่ะ คณะที่มี่เข้าไม่ชอ SAT Math/ACT เลยไม่จำเป็นต้องสอบ เท่ากับเสียเงินค่า Application Fee 1,000 บาทและค่า Writing Essay 500 บาท เป็นจำนวน 1,500 บาทเท่านั้นค่ะ
😘 สำหรับใครที่สอบ IELTS ได้ Overall 6.0 และ Writing 5.5 แล้ว แนะนำให้เข้า Regular Track สอบแต่ข้อเขียนอย่างเดียวก็ได้นะ ไม่ต้องไปสอบ IELTS ซ้ำอีกรอบแล้ว เปลืองเงินฟรีๆ น่ะ อิอิ
ตอนไปสมัครใช้ IELTS ที่ส่งแบบ Electronic TRF ผ่านทาง IDP Thailand เค้าจะมีเมลมาบอกเราว่าทาง IDP ส่งไฟล์ให้มหาลัยเรียบร้อยแล้วนะ จากนั้นเราก็เอาตัว Title ของเมลที่ได้มาให้มหาลัยอีกทีค่ะ (ก็จะมีพวกชื่อนามสกุลเรา วันที่สอบ อะไรแบบนั้น) แล้วมหาลัยจะเอาไป verified เอาเองตอนหลังค่ะ
❌ ไม่แนะนำ (เอาเป็นว่าห้าม!!) ให้ส่งฉบับจริงให้มหาลัยนะ เพราะเราจะไม่มีทางได้คืนอีกแล้วค่ะ (อันนี้รู้มาเพราะมีคนที่สอบที่ไต้หวันแล้วทาง Test Centre ที่ไต้หวันไม่มีบริการส่ง Electronic กลับมาที่ไทยให้ ทีนี้ MUIC ขอฉบับจริงเลยจ้าาาาา ซวยไปอีก)
สำหรับผู้สมัครด้วย GED หลังจากนั้นทางมหาลัยจะขอให้เราส่งไฟล์ PDF จาก GED ส่งให้ในเมลของเรา ให้เราเอาไฟล์ส่งเข้าเมลของมหาลัยเอง (อันนี้เค้าจะเมลที่ต้องส่งบอกตอนไปสมัครนะคะ) ทั้ง Transcript และ Diploma เลยค่ะ เค้าจะดึงเข้ามาเช็คในระบบ Blue Ribbon เอง เราไม่ต้องทำอะไรนอกจากเตรียมไฟล์ให้เค้าแค่นั้นค่ะ ตอนนั้นมี่ใช้เกรดม.4-5 ทั้งหมด 4 เทอมพร้อม GED คะแนนรวม 600+
❌ ถ้าไม่มีเกรดม.4 2 เทอม (1 ปีการศึกษา) จะไม่มีสิทธิ์สมัครเข้า MUIC เด็ดขาดเพราะคุณสมบัติไม่ตรงตามที่กำหนด เนื่องจากที่ต้องจบม.4 เพราะเป็นระบบกันเด็กออกจากโรงเรียนเร็วเกินไปของทาง MUIC เองค่ะ จะเป็นเกรดจากโรงเรียนในไทยหรือตอนไปแลกเปลี่ยนก็ได้แต่ยังไงก็ต้องมีเกรดช่วงชั้นม.ปลายอย่างน้อย 1 ปีการศึกษาค่ะ
⭕️ สำหรับเด็กที่ใช้ GED ไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองความประพฤติจากคุณครู (Teacher) นะคะ เพราะถือว่าออกจากระบบโรงเรียนมาแล้วค่ะ ไม่ต้องกลับไปที่โรงเรียนเก่าให้คุณครูเขียนนะ
หลังจากที่เราสมัครเสร็จก็จะได้ใบรายละเอียด schedule มา จะบอกรายละเอียดว่าเราต้องรอเช็ครายชื่อและที่นั่งสอบวันไหน ประกาศผลข้อเขียนวันไหน แล้วตารางจะเป็นยังไงต่อ ทุกอย่างคือครบหมด อย่าทำใบนี้หายเป็นพอจ้าๆๆ (ทุกวันนี้มี่ยังเก็บเป็นที่ระลึกอยู่เลย)
ถ้าสอบแค่อันไหนเค้าจะมาร์กอันนั้นไว้ให้ มีรายละเอียดวิชาที่สอบด้วยนะ
หลังจากรู้ผลจะมีวันที่แยกของตัว PC และ IC เองเลยจ้า
วันสอบให้แต่งตัวด้วยชุดนักเรียน (แต่เราไม่ถักเปีย) พร้อมเครื่องเขียนที่จำเป็นในถุงซิปใสและห้ามลืมบัตรประชาชนนะ!!! มี่ไปก่อนเวลาแค่ 40 นาที คือถึงตึกสอบประมาณ 12.20 น.
วันที่มี่สอบ มี่เลือกเขียนเกี่ยวกับ "ข้อดีข้อเสียของการเรียน all boys, girls schools กับ mixed schools อันไหนดีกว่ากัน" มี่จำอีกหัวข้อไม่ได้อะค่ะ แหะๆ มี่เขียนไปทั้งหมด 338 คำ Intro 109 คำ Part 1-2 114 Conclusion 115 คำได้ ก็เลยเขียนไปประมาณว่า... "ทั้งการเรียนโรงเรียนหญิงล้วน,ชายล้วนหรือสหก็ต่างมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน การเรียนแบบหญิงล้วนจากประสบการณ์โดยตรงของเราคือเค้าฝึกให้เราสามารถทำเป็นทุกอย่างโดยไม่ต้องพึ่งผู้ชาย เช่น ยกโต๊ะ-เก้าอี้, เวลามีปัญหาอะไรจะไม่ใช้ความรุนแรงมากขนาดเด็กโรงเรียนสหหรือชายล้วน และเพื่อความสบายใจในการส่งลูกอยู่โรงเรียนของผู้ปกครองเองด้วย แต่ในอนาคตอาจมีปัญหาเพราะว่าในความจริง สังคมเราไม่สามารถเลือกที่จะอยู่แต่เฉพาะกับผู้หญิงหรือผู้ชายเท่านั้นได้ อาจจะมีปัญหาเรื่องการปรับตัวเข้าหาเพศตรงข้ามเมื่อไปมหาลัยหรืออยู่กับสังคมในอนาคต เพราะจากตัวเราเองคือเราก็ไม่รู้ว่าจะเข้าหาเพื่อนผู้ชายยังไงดีเหมือนกัน มันดูเขินๆ เพราะโรงเรียนเราหญิงล้วนละมันไม่ชินอะ มันเลยดูแปลกๆ ทำให้พอออกจากโรงเรียนไปก็ต้องปรับตัวอีกเพื่อที่จะอยู่กับคนอื่นให้ได้
ยังไงก็ตามแต่ละระบบโรงเรียนมีความต่างกัน ให้เลือกตามแบบที่ชอบและคิดว่าเหมาะสมกับความต้องการด้วย" คร่าวๆ ที่จำได้ก็ประมาณนี้เลย แล้วพอออกจากห้องมาเราต้องเอาบัตรประจำตัวผู้สอบออกมาด้วยแบบในภาพค่ะ
รอบแรกประกาศผลมาเราก็ติด MUIC ค่ะและสัมภาษณ์ตามวันที่เค้ากำหนดคือ 19 ส.ค. 2019 ค่ะ คือถ้าจากข้อเขียนมาแล้วติด IC เลยก็เบาใจได้แล้วค่ะว่ายังไงก็ได้ IC คงไม่ร่วงลงไป PC ยกเว้นพูดไม่ได้แบบ dead air ไปเลยอะค่ะ อันนั้นอาจจะโดนปัดลงไป PC 4 นะ
หลังจากนั้นเราก็รอไปมหาลัยวันสัมเลย เราไปกับป๊าและเพื่อนสนิท แบบ bestie มากๆ คือทาช่าค่ะ แต่ช่าไปสัม commde (Communication Design) เดี๋ยวมีรีวิวของช่าค่ะๆ รอก่อนๆ
อันนี้คือตอนที่มี่สัมเลยนะ
คือเอาตรงๆ แบบก็อาจารย์ฝรั่งกับอาจารย์ไทยสอนอินเตอร์อะ ความคิดเค้าจะกว้างมากกว่าครูไทยฝั่งไทยแน่นอน 100% แบบเค้าก็ถามแค่ basic questions ถามเป็นภาษาอังกฤษและตอบเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดนะ แต่ขอเขียนตอบลงบล็อคเป็นภาษาไทยนะคะ
ปล. มี่ตอบคำถามแบบเป็นตัวของตัวมี่เองนะ ได้โปรดอย่าจำเป็นแนวทางตอบไปนะ พูดความเป็นจริงและความเป็นตัวเองไป อย่าไปก๊อปตามคนอื่น มันไม่ดีและไม่เรียลจ้า มี่ไม่อยากให้วาง
แพลนการตอบไปไว้ล่วงหน้าอะ เพราะมันเหมือนจะวัดอะไรในตัวของคนๆ นั้นแทบไม่ได้เลย ทั้งความคิด ทัศนคติหรือตัวภาษาอังกฤษเอง
ตามในภาพคงเห็นว่า เอ้ย ทำไมเด็กใส่ชุดนักศึกษาเยอะจังดูเยอะกว่าชุดนักเรียนอีก ? (อันนี้จริง) คือที่เห็นแบบนี้ก็เพราะว่าจริงๆ MUIC เด็กที่เข้ามาหลักๆ คือติด PC มาแล้วเค้าเอาที่นี่เลยต้องปรับพื้นฐานภาษาก่อนแล้วค่อยเข้ามาเรียน IC นั่นเองจ้า
ลุยคำถามเลยนะ!!!
- ทำไมถึงเลือกสายนี้ ? เพราะอะไร ? 🍦 มี่ก็ตอบไปว่าเวลาทำงานกลุ่มเกี่ยวกับงานวิดีโอ มี่ดูแลเรื่อง Cinematography กับ Screenwriting เป็นหลัก เวลามี่ทำงานพวกเขียนบท มี่ได้คะแนนกลับมาค่อนข้างดีได้ A มาอะไรงี้ และ Acting บ้างบางครั้ง ส่วน Directing เป็นหน้าที่เพื่อนอีกคนนึง เค้าจะช่วยเราได้มากกว่า แต่พวกงานอัดวิดีโอกับตัดต่อเพื่อนอีกคนนึงจะเป็นคนตัดต่อซะมากกว่า เพราะเค้าตัดเร็วกว่าเรามาก (งานส่วนมากงานไฟลนก้นก็งี้ 5555) และรู้สึกว่าสนุกมากที่ได้ทำพวก Creative Content และคิดว่าคือตัวเราจริงๆ
ในอนาคตมี่มีความตั้งใจอยากทำงานที่ Marvel Studios เพราะชอบ MCU มากๆ ที่สุดเลยค่ะ และก็ Warner Bros. ค่ะ แต่ว่าหลังจากจบจาก MUIC มีแพลนจะต่อโทก่อนที่ University of the Arts London ที่ London College of Communication หรือ Central Saint Martins ในสาขา MA Film, Directing ไม่ก็ MRes: Moving Image แต่ถ้าชอบสาย Acting มากๆ ก็คงไป American Conservatory Theater ที่ San Francisco หรือ (The) Lee Strasberg Theatre and Film Institute ใน New York City ที่ USA หรืออีก 2 ที่ที่สนใจมากๆ คือ American Film Institute ถ้ามาสายกำกับ/หนัง และอีกที่คือ NYU TISCH ค่ะ และคิดว่า MUIC จะช่วยให้หนูไปถึงเป้าหมายที่หนูวางไว้ในอนาคตได้ค่ะ
- เคยทำอะไรเกี่ยวกับสายงานพวกนี้ (Media) บ้างมั้ย ? 🍦 มี่ก็ตอบไปว่ามีค่ะ เพราะมี่ทำ Website และ Blog ของตัวเอง คนอ่านมากสุดก็ 5.5 K เพราะเป็นประสบการณ์การเรียนภาษาในต่างแดนของเราและพวกสอบวัดระดับภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ตอนนี้หลักๆ รวมกันมีคนอ่านมากกว่า 30,000 คนแล้วค่ะ อาจจะไม่ได้เยอะแยะอะไรมากมายแต่ก็ดีใจและภูมิใจมากๆ (และมี่ก็ยื่นกระดาษที่เขียนพวกลิงก์เว็บไซต์ของตัวเองที่ทำปัจจุบัน (คือเว็บนี้) และเว็บเก่าบน minimore.com ให้ อาจารย์ก็เลยถามถึง definition กับ meaning ของ domain ปัจจุบันคือ www.askmie-dyshamasixth.com ว่าคืออะไร เลยตอบไปว่า ...
"ask ก็คือถาม มีอะไรอยากถามก็มาถามเลย ยินดีตอบและช่วยเหลือ, mie คือชื่อเล่นของมี่เอง และ dyasha คือชื่อภาษารัสเซีย (อินเดียก็ใช้ด้วย) ของตัวมี่เอง แต่มันเป็น typo เพราะมี่ลืมตัว a อีกตัวไปเลยเป็น dysha แทน ที่มี่มี preferred name นี้ก็เพราะเวลาที่มี่ไปประเทศที่เค้าไม่ได้พูดภาษาไทยเค้าจะมีปัญหาเรื่องการออกเสียงชื่อมี่มากๆ ภาษาเค้าไม่ใช่ tonal language เพราะฉะนั้น dyasha จะออกเสียงง่ายกว่ามากและชื่อมันไม่ซ้ำคนอื่นด้วย, masi ก็คือ มาสิ (just ask me!) ประมาณนั้น และสุดท้าย xth ก็คือ x เพื่อบอกว่าเราเป็นคนไทยโดยการใส่ th ไว้ข้างล่างซึ่งเป็นตัวย่อของคำว่า Thailand" เค้า (อาจารย์ผู้หญิงที่มี่ทราบตอนหลังคืออาจารย์วรรณ์ขวัญ) ก็เลยตอบมาว่า "ohhh, I got it!! It's so meaningful"
- ใครเป็น inspiration ของเราที่ทำให้อยากเรียนอันนี้ ?
🍦 มี่ก็ตอบไปว่ามี่ชอบดาราฮอลลีวูดหลายคนแต่ที่ชอบมากก็คือ Scarlett Johansson, Brie Larson, Bryce Dallas Howard, Cate Blanchett มากๆ และมี่ก็คิดว่า acting method ของเค้าดูน่าสนใจดี เราเลยอยากเรียนรู้จาก basic acting บ้างว่าถ้าในอนาคตเราต้องทำงานสายนี้เราจะได้สื่อสารกับนักแสดงถูกต้องมากขึ้น เพราะที่นี่มี course elective เยอะมากๆ มี่คงเลือกลอง Acting, Directing, Screenwriting, Film Production เพื่อที่จะตัดสินใจเรียนลึกเพื่อต่อโทในอนาคตค่ะ และตัวมี่เองก็เคยเรียน Learning English through Drama กับ Mr Loni Berry ด้วย (Mr Loni เรียนจบจาก Brown และ Yale School of Drama มา) มี่รู้ว่าเค้าเคยเป็น instructor ที่นี่มาก่อนแต่เค้าลาออกไปแล้ว แล้วอาจารย์วรรณ์ขวัญก็แบบว่าดู surprised มากๆ แล้วก็หันไปคุยกับ อาจารย์ Jerimiah ว่าอ๋อๆๆ โลนี่อะๆ เลยขำขันกันตอนนั้น
ละอาจารย์ผู้หญิงก็จะถามว่ามี่มีคำถามอะไรจะถามมั้ย ?
- มี่เลยถามว่า "ถ้าสมมุติหนูสัมแล้วยังติด IC แต่ยังเข้าเรียนไม่ได้เพราะใช้ GED สมัครจะขอ Postpone เรียนเทอม 3 ได้มั้ยคะ" เค้าก็ตอบว่า "อันนี้เค้าก็ไม่รู้เหมือนกันต้องถาม admission officer แต่เค้าแนะนำว่าให้เรียนเทอม 1 ดีกว่าเทอม 3 เพราะ เทอม 3 มันเหมือนเป็น final term ของเด็กที่เข้าเทอม 1 คลาสมันจะเยอะและเน้นสอบมากกว่าสอนเก็บความรู้" (อาจารย์ Jerimiah เค้าว่ามางี้นะ)
คนที่ชวนมี่คุยจะเป็นอาจารย์ผู้หญิงคนไทยมากกว่า แต่สำเนียงออกบริติชเลยนะ (เพิ่งรู้ว่าอาจารย์วรรณ์ขวัญเป็น Asst. Prof. Dr. จบโทใบแรก Acting จาก Goldsmiths, University of London กับโทอีกใบที่ SOAS, University of London) มา ซึ่งเป็นมหาลัยระดับท็อปด้านนี้ในอังกฤษเลย) ส่วนอาจารย์ฝรั่งคืออาจารย์ Jerimiah (รู้ตอนหลังว่าเป็นคนอเมริกัน เป็น Dr. จบจาก James Madison University กับ Ohio University) จะนั่งเงียบละเปิดประวัติพวก GED, IELTS เราดูมากกว่า 555555
เอาเป็นว่าสัมก็สัมให้เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด อย่าไปเฟคมากเพราะฝั่งอินเตอร์เราพูดหรือถามได้ตามที่เราอยากถามหรืออยากรู้อะ เค้าชอบเด็กที่ Active ละถามเยอะ กล้าคุย ศัพท์ไม่ต้องขั้นสูงมากเอาแค่พอสื่อสารรู้เรื่องพอเด้อ
เชื่อมี่นะว่าถ้าเราสามารถตอบได้ ตอบแบบเป็นตัวของตัวเองและพยายามตอบให้มากที่สุด ยังไงก็ไม่ลงไปติด PC แน่นอน อย่ากังวลอะไรมาก คิดอะไรได้ก็พูดเลย เพราะการสื่อสารและแสดงความคิดเห็นในระบบอินเตอร์มันไม่มีผิด
ถูกอะ เค้าดูแค่ทัศนคติเราว่ามันจะเข้ากับที่นี่ได้มั้ย ที่นี่เหมาะกับเรามั้ยมากกว่า ซึ่งมี่ทำมาแล้ว และมันก็ได้ผลที่ดีมากๆ ด้วย อยากให้ทุกๆ คนที่มาสัมกล้าพูด กล้าตอบ และที่สำคัญที่สุดคือ "กล้าที่จะเป็นตัวเอง" เป็นกำลังใจให้ทุกๆ คนเสมอนะ รอต้อนรับมาอยู่มหาลัยเดียวกันนะ 💞
ในแฟ้มเอกสารนี้ก็จะมีพวกใบการจ่าย admission fee, การตรวจสุขภาพว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง, มาวันไหน, ในวันนี้ๆ จะทำอะไรบ้าง, ปฐมนิเทศวันไหน ต้องมากี่โมง, เลือกสาขาวิชายังไง ตอนไหน ที่ไหน ก็คือเป็นพวกเอกสารเกี่ยวกับการรายงานตัวเป็นนักศึกษา MUIC เต็มตัวนั่นเองค่ะ
ในภาพนี้คือตอนที่ไปรายงานตัว จะมีพี่ ๆ admission officers มาพูดอธิบายรายละเอียดต่างๆ ของเอกสารในแฟ้ม ถ้าใครมีคำถามอะไรตรงนี้สามารถถามพี่เค้าได้เลยนะ 😘
แต่ถ้าใครสละสิทธิ์ต้องเอาแฟ้มที่เราเอามาไปคืนเค้าด้วย!!! (โดนมาแล้ว ก็เลยรู้ไง 5555)
รอบที่ 2 ที่มี่สมัครโดยการใช้วุฒิม.6 ของโรงเรียนไทยตามปกติ
ตอนที่จะมาสมัครรอบ 2 มี่เอาแฟ้มของรอบแรกมาคืนด้วย เราก็ยื่นเอกสารเพื่อสมัครปกติเลย แต่ว่าต้องบอกพี่เค้าด้วยว่า "หนูติดมาแล้วอะค่ะ แต่ว่าต้องเอาเอกสารคือแฟ้มมาคืนใช่มั้ยคะ" พี่เค้าก็จะรับเอกสารเรามาแล้วให้เอาเลขนิสิตกับแฟ้มขึ้นไปคืนที่ชั้น 3 แล้วค่อยเอาเอกสารของชั้น 3 ลงมาให้พี่เค้า หลังจากนั้นก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยสำหรับการสมัคร สำหรับเราผลสอบ IELTS ของรอบแรกเอากลับมาใช้ได้เลยเพราะทางมหาลัยได้ verified มันแล้วตอนรอบแรก ไม่ต้องขอจาก IDP มาใหม่
📝 คือวันนี้ไปสอบข้อเขียนมหิดลมา (รอบที่ 2) เรื่องสิ่งแวดล้อมคือแบบบบว่าาาา Greta Thunberg มากกกกกๆๆๆ 55555555 อยากเขียนว่า how dare you!!! มี 2 หัวข้อเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทั้งคู่
1. อันแรกคือ : มีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น ให้ discuss both views ว่าเป็นความรับผิดชอบของคนในครอบครัวหรือรัฐบาล
2. อันที่ 2 คือ : มีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม คุณคิดว่าควรจะ strict เรื่องจำนวนของรถกับ plane journeys มั้ย เพราะอะไร ให้เขียนว่าทำไมถึงเห็นด้วยและประสบการณ์โดยตรงของตัวเอง
มี่เลือกเขียนอันที่ 2 ไปเลย....
เลยเขียนไปแนวๆ ว่าเห็นด้วยกับเรื่องรถมากๆ เพราะมันก่อ traffic jam กับ air pollution ซึ่งทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก และประเทศไทยเป็นประเทศที่รถติดมาก เพราะคนเอาแต่คิดกันว่าใช้รถส่วนตัวมันสะดวกกว่า ในเมื่อจ่ายเงินซื้อรถได้จะไปใช้ public transportation ให้ลำบากทำไม ละก็เขียนต่อว่าละถ้าทุกคนคิดแบบนี้เหมือนกันหมด ปัญหามันจะไม่ใหญ่ไปกว่านี้อีกหรอ เพราะแค่ปัญหาอันเดียวมันทำให้เกิดปัญหาหลายๆ อย่างได้เลยนะ ทั้งปัญหาเรื่องภาวะเรือนกระจก, ทำให้แสงแดดไม่สามารถออกจากชั้นบรรยากาศได้ ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้นและในที่สุด glaciers จะละลายอีก แต่เรื่อง aircraft ไม่เห็นด้วย เพราะว่าทั้ง Boeing และ Airbus เค้าผลิตเครื่องบินประหยัดพลังงานและผลิตภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว มันประหยัดน้ำมันและลดพวกปัญหามลพิษทางอากาศอยู่แล้ว และในอนาคตเค้าก็คงผลิตให้มันดียิ่งขึ้นไปอีกแน่ๆ ตรง conclusion เขียนไปว่าอยากให้รัฐบาลใส่ใจเรื่อง public transportation ให้ครอบคลุมขึ้น คนจะได้สนใจใช้และใช้รถส่วนตัวได้น้อยลง
สรุปคือเราเขียนไปทั้งหมดประมาณ 338 คำ (นับแบบตกหล่นบ้างมั้ยไม่รู้ แต่เกิน 250 อยู่แล้วแน่นอน ไม่โดนหักเรื่องคำไม่ครบ) เราใช้เวลาในการอ่านโจทย์ทวนเพื่อดูว่าต้องการอะไร 5 นาที, ร่าง outline 10 นาที, เขียนประมาณ 40 นาที, เช็คตรวจทานข้อมูลทั้งหมดอีก 5 นาที
ผลสอบตอนประกาศข้อเขียน....
ผลออกมาก็คือเราติด IC (College) เช่นเดิม รอบนี้ลุ้นนานมากเพราะเด็กสอบกันประมาณ 1,200 คน รอทั้งหมด 26 วันเต็ม ๆ เลยจ้า พอผลออกละหายเหนื่อยเลยแง 555555
สำหรับน้อง ๆ ที่ใช้วุฒิม.6 จากโรงเรียนไทยสมัครจะต้องมีเกรดให้ครบ 5 ภาคการศึกษาก่อน (ม.4 เทอม 1 ถึงม.6 เทอม 1) สำหรับคนที่สมัคร 3rd Entry ช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ตามปกติต้องเข้าเรียนช่วงเดือนมกราคมปีถัดไป (เทอม 2) ถ้าติด IC แล้วจะสามารถขอเลื่อนไปเข้าภาคการศึกษาถัดไปได้ (เทอม 3 เดือนเมษายนปีถัดไป) ได้แค่ 1 ภาคการศึกษาเท่านั้นคือจากเทอม 2 ไปเข้าเทอม 3 แต่ถ้าติด PC จะขอเลื่อนได้ 2 ภาคการศึกษา (ประมาณ 20 อาทิตย์ช่วงที่เรียน เพราะจะเรียน 10 สัปดาห์ต่อเลเวลถ้าไม่โดน repeat)
คำแนะนำ: เราคิดว่าช่วงที่เราได้สัมรอบแรกอะ ที่อาจารย์พูดว่าแนะนำให้เข้าเทอม 1 ดีกว่าเทอม 3 อะ เราว่ามันจริงมากนะ เข้าเทอม 3 นี่นรกแตกมาก เพื่อนส่วนมากเป็นเพื่อนฝั่งไทย (เพื่อนที่นี่น่ารักมาก คุยกันได้ทุกคนเลยนะ ให้ความช่วยเหลือเยอะมาก ๆ) ละคือมันเหมือนเป็นเทอมสุดท้ายของเด็กที่เรียนตั้งแต่เทอม 1 อะ เค้าก็ชิวดิ ส่วนเด็กเทอม 2 ก็ปรับตัวกับ course load นี้ได้แล้ว คือวิชาแต่ละวิชาจะหนักมาก เพราะ Media Com เรียนไม่เหมือนชาวบ้าน ชาวบ้านเค้าจะเรียน General Education ก่อนหรือ Gen Ed เพื่อปูพื้นฐานความรู้มันจะไม่หนักมาก แต่ถ้า Media Com ละนะ โห core subject เท่านั้นมีแค่ English ที่เป็น Gen Ed ละเราสอบตรงข้อเขียนมหาลัยคือติด ERS เพื่อปรับพื้นฐานด้านการเขียนเชิงวิชาการก่อน (Academic Writing จ้า ไม่ใช่ General English เลย ทำ research เพื่อเขียนงานเยอะมากกกกกก)
แต่.. วิชาเทอม 3 นั้นคือ Creative Writing, Man and Arts, Global Media, Visual Communication (VisCom)
- คือ Man and Arts นี่ยากนรกมาก ต้องดูพวก artistic forms ละเขียนเว้ย (เอาตรงแค่เขียนภาษาไทยยังไม่รู้เลยว่าจะเขียนยังไงแม่ 😂 ) แต่อาจารย์ตลกและน่ารักมาก คือจารย์ขวัญคนที่สัมเรา
- ส่วน Creative Writing ยังพอไหวอยู่ เพียงแต่ต้องใช้เวลานานกว่าคนอื่นหน่อยนึง แต่วิชานี้สนุกมาก ๆ เราชอบเพราะมันได้อ่านและเขียน forum post และแต่ง short stories, วิจารณ์หนังสืออะไรงี้
- สำหรับ Global Media เราชอบมาก มันทำให้เราเข้าใจอุตสาหกรรมฝั่ง Hollywood มากขึ้น อาจารย์เจอรี่สอนสนุกมาก เราไม่เคยเบื่อที่ต้องนั่งดู recorded vids ก่อนเรียนเลย อาจารน์คนนี้คือคนที่สัมคู่กับอาจารย์ขวัญจ้า
- ส่วน VisCom เราก็ชอบนะ อาจารย์คนที่สอนเป็น Presentor ของ FujiFIlm Australia จ้า เค้าถ่ายรูปเก่งและสวยมากในความคิดเรา (เป็นคนออสซี่ แต่ไปอยู่ลอนดอนมาหลักสิบปี ก่อนมาสอนที่ MUIC สอนที่ Lingnan University ที่ฮ่องกงมา 2 ปี) วิชานี้ไม่มีสอบ แต่เน้นทำโปรเจค 70% ของคะแนนทั้งหมด มันยากตรงเอาความรู้มาปรับกับโปรเจคอะ 55555 แต่ทำให้ดีที่สุดก็พอ
สัมภาษณ์!!!
ตอนไปสอบสัมภาษณ์รอบ 2
🎤 อันนี้รีวิวของมี่ตอนสัมภาษณ์เข้า College รอบที่ 2 นะ :
คือมี่แบบสัมเร็วมาก คือสัมคนแรกด้วยนะ คนสัมคือคนเดิมทั้ง 2 คนเลย 5555 เหมือน 2nd entry ที่เราติดแล้วแต่สละสิทธิ์ เค้าบอกว่าไม่ต้องถามเยอะเลย เพราะเคยคุยกันมาแล้วนี่ เราเข้าไปก็แนะนำตัวละก็บอกว่า "หนูเคยติดมาแล้วน้า แต่หนูสละสิทธิ์เพราะว่าหนูต้องการกลับมาเรียนม.6 ให้จบก่อนเพราะรอบนั้นหนูใช้ GED ตอนนี้จริงๆ หนูก็ accepted to Macquarie University กับ Victoria University of Wellington แล้ว แต่หนูคิดว่าหนูคงได้เรียนที่ MUIC แหละเพราะว่าครอบครัวหนูอยากให้เรียนที่นี่ และตัวหนูเองก็มองว่า MUIC คือ The best international college in Thailand แล้ว และที่ไม่เอา Macquarie กับ Victoria เพราะหนูอ่าน Partner Universities ของ MUIC แล้วมี 2 U นี้อยู่ด้วย"
อาจารย์ผชฝรั่ง (Jeri) เลยตอบว่า "ใช่เลย ไปแลกเปลี่ยนปี 2 ก็ได้นะ เพราะ Course electives มัน transfer กลับมาง่ายกว่า ส่วนปี 3 ไม่ค่อยแนะนำเพราะหา u ยากหน่อยแถมปี 3 จริงๆ ก็ไม่ค่อยได้อยู่มหาลัยอยู่แล้ว เพราะต้องฝึกงาน (internship)"
ทีนี้เลยเอากระดาษที่ให้เค้าไปว่าทำเว็บอะไรมาบ้าง (เว็บเรารวมทั้งหมดมีคนอ่านประมาณ 32K ไม่รวมเว็บปัจจุบัน) อาจารย์ผญ (จารย์ขวัญ) เลยบอกว่า "I kept it na!" แล้วมี่เลยถามว่า "จารย์อยากสัมอะไรเพิ่มเติมมั้ย" จารย์เค้าบอกว่า "ไม่ต้องแล้วล่ะ เราเคยคุยกันแล้ว ขอบคุณมาก ๆ จ้า"
คือเราเข้าไป 3-4 นาทีก็ออกมาแล้วอะ คนหน้าห้องเลยตกใจมาก 5555555 เพราะรอบแรกที่เราสัมคือเราพูดมาก คุยไปประมาณ 30-40 นาทีได้เลย
อัพเดท: ตอนนี้คือที่รู้มา อาจารย์เจอรี่บอกว่าเค้ากำลังเจรจากับ Macquarie University เรื่องการทำ Double-degree ด้วยกันอยู่สำหรับ FAA Division คือที่เราดูมาอะ แมคจะเรียนตรีแค่ 3 ปี แต่ถ้าทำ MOU กันคือเรียน 4 ปีเท่าที่ไทยแต่ได้วุฒิป.ตรี 2 ใบเฉย ๆ ที่ได้ข้อมูลมาจากม. เค้าบอกว่าต้องเรียนที่ไทยให้ครบ 2 ปีก่อน ถึงจะไปต่อปี 2-3 ที่ออสเตรเลียได้ (ระหว่างการเจรจาเท่านั้น ยังไม่ launch โปรแกรมนี้จ้า)
สำหรับรีวิวผลการเรียนตอนอยู่ MUIC จะอยู่ที่คอมเมนต์ของเราด้านล่างนะจ๊ะ 🥳
เริ่มกันที่... เอกสารที่ใช้ในการสมัครกันเลย!!! (ลิงก์สำหรับดู Requirement: ที่นี่)
สำหรับ Regular Track
คือ คนที่คุณสมบัติไม่ครบสำหรับ Fast Track เช่น IELTS Writing ไม่ถึง 6 หรือยังไม่มีผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษหรือคณิตศาสตร์ (SAT Math หรือ ACT ก็ได้) จะต้องสอบข้อเขียนก่อนแล้วถ้าผ่านก็รอสัมภาษณ์อีกที แต่ในกรณีที่สอบของมหาลัยแล้วไม่ผ่านทักษะทางภาษาอังกฤษหรือคณิตศาสตร์จะโดนปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษด้วย Pre-college (PC) หรือทักษะทางคณิตศาสตร์ The Mathematical foundation Programme (MP) ในสาขาที่ขอทักษะคณิตศาสตร์
1. Official transcript (ใบแสดงผลการเรียน)
- A photocopy of high school transcript (ฉบับก๊อปปี้ก็ได้) OR
- Applicants who submit IGCSE must have IGCSE, GCSE or GCE ‘O’ Level at least 5 subjects and GCE ‘AS’ Level or GCE ‘A’ Level at least 3 subjects, 8 subjects in total, with a minimum grade of C.
▶️ สำหรับนักเรียนที่สมัครด้วย IGCSE ต้องมี IGCSE/GCSE/GCE O Level ขั้นต่ำ 5 วิชา และ GCE AS Level หรือ A-Level ขั้นต่ำ 3 วิชา รวมทั้งหมด 8 วิชา เกรดที่ต้องผ่านทุกวิชาขั้นต่ำคือเกรด C)
- Applicants also have to submit an official high school transcript of grade 10 or its equivalence with at least 2 terms. OR
▶️ ผู้เรียนทุกคนต้องยื่นเกรดตอนม.ปลาย (ม.4 หรือเกรด 10) หรือเทียบเท่าด้วย (อาจจะแลกเปลี่ยนหรืออะไรก็ได้ แต่ต้องมีเกรดม.ปลายอย่างน้อย 2 เทอม)
- GED submissions must pass 4 subjects with a minimum score of 600 and an official high school transcript of grade 10 or its equivalence with at least 1 academic year.
▶️ สำหรับนักเรียนที่ยื่นด้วย GED ต้องมีคะแนนรวมทุกวิชาขั้นต่ำ 600 คะแนนพร้อมกับเกรดม.4 หรือเกรด 10 อย่างน้อย 1 ปีการศึกษา (2 เทอม)
2. A photocopy of High School Certificate or Diploma (if Graduated)
▶️ สำเนาใบแสดงการจบการศึกษาชั้นม.6 หรือเทียบเท่า (ในกรณีที่เรียนจบม.6 ไปแล้ว)
3. A verification letter of current student status (if studying)
▶️ จดหมายแสดงสถานะความเป็นนักเรียน (หากกำลังศึกษาอยู่เทอมสุดท้าย)
4. Two 1-inch photographs in school uniform or formal dress (shirt)
▶️ รูปภาพในชุดนักเรียนขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป หรือหากไม่มีชุดนักเรียนต้องใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว
5. Original official of TOEFL (iBT) overall 69 or Original and Electronic result of IELTS (Academic) overall 6.0 or PTE (Academic) overall 50 with at least 2 years validity (if any)
▶️ ใบแสดงผลการวัดทักษะทางภาษาอังกฤษ (ในกรณีที่มีผลสอบแล้ว) ได้แก่ TOEFL iBT คะแนนรวมขั้นต่ำ 69, IELTS คะแนนรวม 6.0, PTE คะแนนรวม 50 และต้องยังไม่หมดอายุ
6. Original official of ACT (Math Score) or SAT (Math Score) with at least 2 years validity (if any) SAT Math: 500-800 or ACT: 18-36
***ACT (Math score), SAT (Math score) and Math Examination are not needed for Communication Design, Intercultural Studies and Languages and International Relations and Global Affairs.
▶️ ใบแสดงผลการวัดทักษะทางคณิตศาสตร์ SAT Math 500-800 คะแนน หรือ ACT 18-36 คะแนน และต้องยังไม่หมดอายุ (ในกรณีที่มีผลสอบแล้ว)
*** ผลการทดสอบคณิตศาสตร์ไม่ต้องใช้สำหรับการยื่นเข้าคณะ Comm De (นิเทศศิลป์), สื่อและการสื่อสาร และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและกิจการทั่วโลก
7. A recommendation letter from a teacher (if studying) (แบบฟอร์มที่นี่)
▶️ จดหมายแนะนำและรับรองความประพฤติจากคุณครู (ในกรณีที่ยังศึกษาอยู่ในระบบโรงเรียน)
8. Application fee 1,000 Baht with TOEFL (ITP) 1,200 Baht, Writing 500 Baht, Math 500 Baht
▶️ ค่าสมัคร 1,000 บาท หากต้องสอบ TOEFL ITP และ Writing จะเป็นจำนวนเงิน 2,700 บาท
หากต้องสอบทั้งหมด (อังกฤษและคณิตศาสตร์) จะเป็น 3,200 บาท / หากสอบ Writing หรือคณิตศาสตร์อย่างเดียวจะเป็น 1,500 บาท
** เงินส่วนนี้จะเอาไปจ่ายจากการโอนเงินเป็น Payment Slip หรือเอาเงินไปจ่ายสดที่มหาลัยก็ได้
9. A photocopy of the Thai identification card or passport (for overseas students)
▶️ สำเนาบัตรประชาชนสำหรับนักเรียนชาวไทย หรือพาสปอร์ตสำหรับเด็กต่างชาติ
10. A photocopy of one’s current residency document
▶️ สำเนาทะเบียนบ้านของตัวนักเรียนเอง
สำหรับ Fast Track
คนที่ผลสอบทุกอย่างถึง Requirement ของมหาลัยทั้งหมดทั้ง SAT และภาษาอังกฤษ จะสอบสัมภาษณ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะคุณสมบัติทุกอย่างถึงที่มหาลัยขอแล้ว
ตัวเอกสารทุกอย่างจะเหมือนกับ Regular ทั้งหมด เพียงแต่ต่างกันตรงผลทดสอบทางภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ เพราะฉะนั้นสำหรับลิสต์เอกสารขึ้นไปดูข้างบนได้เลยจ้า
ต้องมีผลการทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ ดังนี้
1. TOEFL iBT คะแนนรวม 69 และ Writing 22 (ส่งผลสอบทางเว็บของ ETS)
2. IELTS คะแนนรวม 6.0 และ Writing 6.0 (ติดต่อ IDP หรือ British Council เพื่อขอให้ทางศูนย์สอบส่งผลสอบไปให้กับทางมหาวิทยาลัย)
3. PTE คะแนนรวม 50 และ Writing 50 (ส่งผลสอบผ่านทาง PTE)
** ถ้าคะแนนรวมถึง แต่ Writing ไม่ถึงตรงนี้ก็คือต้องไปสอบ Writing อีกทีนะ ไป Regular จ้า
สำหรับสาขาหรือคณะที่ขอ SAT หรือ ACT Math ต้องมีคะแนน ดังนี้
- Science และ Business Administration: ACT ขั้นต่ำ 25 หรือ SAT Math 600 คะแนน
- Intercultural Studies and Languages: ACT ขั้นต่ำ 20 หรือ SAT Math 530 คะแนน
- International Hospitality Management: ACT ขั้นต่ำ 18 หรือ SAT Math 500 คะแนน
*** สำหรับสาขา Communication Design, Media and Communication, International Relations and Global Affairs ไม่ขอคะแนนคณิตศาสตร์
ตอนนั้นที่มี่ไปสมัครมี่ได้สั่งเอกสาร GED ตัวจริงแบบ Paper Document มาเผื่อเหมือนกันค่ะ แต่จริงๆ แล้วที่มหิดลไม่ขอดูเอกสารที่เป็น Paper ตัวจริงอยู่แล้วค่ะ (จะสั่งหรือไม่สั่งก็ได้) เพราะหลังจากสอบผ่านทั้งหมด ทาง GED จะส่งไฟล์ Diploma กับ Transcript เป็น PDF file ให้ในเมลอยู่แล้วค่ะ
รวมรีวิวการสมัครสอบเข้า MUIC จากเพื่อนๆ สาขาต่างๆ 🤨
🍭 รีวิวจากกัส : เพื่อนที่สมัครเข้าและจะเรียนรอบเดียวกัน แถมสาขาเดียวกันคือ Media and Communication ด้วย 🥳
- แนะนำตัวหน่อยจ้า
🍭 สวัสดีค่า ชื่อกัส เรียนสายศิลป์จีนนะค้า
- ทำไมถึงเลือกมาเรียน Media and Communication ที่ MUIC
🍭 เราเลือกเรียน media communication ที่ MUIC เพราะ ที่นี่ไม่เหมือนอินเตอร์ที่อื่นทั่วๆไป ที่นี่มีสาขาวิชาให้เลือกเรียนเยอะต่างจากที่อื่นที่ไม่มีให้เลือกค่าาาา
- ใช้คะแนนอะไรเท่าไหร่ในการสมัครเข้า MUIC
🍭 เราใช้ IELTS ยื่น ได้ overall 6 writing 6 พอดี! เป๊ะๆ (เกือบไม่รอด)
- ตอนแรกพื้นฐานภาษาอังกฤษเป็นยังไงบ้าง
🍭 เอาจริงๆพื้นฐานภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้ดีมากนัก แต่ก็พอแบบไปวัดไปวาได้ ซื้อหนังสือมาทำแบบฝึกหัดนิดๆหน่อยๆ กับเรียนพิเศษนิดนึง คะแนนเราถึงพอดีเลยยื่น fast track เลยไม่ต้องสอบข้อเขียนของมหาวิทยาลัย
- ตอนสอบสัมภาษณ์อาจารย์ถามอะไรบ้าง แล้วตอบไปคร่าวๆ ประมาณไหน
🍭 แล้วก็ตอนสัมภาษณ์ อาจารย์ถามว่า
✅ ทำไมถึงอยากมาเรียนที่นี่
✅ โตขึ้นไปอยากทำงานอะไร
✅ มีประสบการณ์อะไรเกี่ยวกับด้านนี้มั้ย(สื่อ)
ประมาณนี้ เรารู้สึกว่าสัมภาษณ์ค่อนข้างเร็ว แปปเดียวเองงง ไม่เครียด
- ผลที่ได้ติดมาได้ IC เลย รู้สึกกลัวมั้ยว่าจะปรับตัวไม่ทัน
🍭 ตอนนี้พอติดแล้วก็มีกังวลบ้าง กลัวเรียนไม่ไหว เพราะแบบเอาจริงๆม.ปลาย เราใช้ชีวิตค่อนข้างชิล ก็กลัวจะปรับตัวไม่ได้ ส่วนเรื่องเพื่อนนี่ไม่ค่อยห่วงเลย มีแต่คนน่ารักๆ
- ตื่นเต้นมั้ยที่ได้เป็นเด็ก MUIC แล้ววววววว
🍭 ตอนนี้ก็คือตื่นเต้นมาก จะก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัยแล้วอะ!!!! โตขึ้นมาอีกชั้นแล้ว แอบกลัวอนาคตเหมือนกันแต่จะทำมันให้ดีที่สุด
- มีอะไรอยากฝากน้องๆ ในอนาคตบ้างหรือเปล่า
🍭 ก็สำหรับน้องๆที่อยากจะมายื่นที่นี่ แล้วสงสัยอะไรถามเรามาได้เลยนะ ตอนนี้มีกลุ่ม "รวมพลคนสอบเข้า MUIC (มหิดลอินเตอร์)" บนเฟสบุ๊คแล้วนะ ถ้ามีคำถามอะไรพี่กัสจะเป็นคนช่วยตอบด้วย ยินดีตอบ ทุกๆคำถาม(เท่าที่เรารู้นะ555) เพราะเราก็เพิ่งติดยังไม่ได้เข้าไปเรียน คงจะตอบได้แค่คำถาม แนวทาง เกี่ยวกับการสอบเข้าเนอะ แล้วเจอกันน้าทุกๆ คน
--- ขอบคุณรีวิวจากกัสด้วยน้าาาา that's so sweet of you! ---
🍐 รีวิวจากแพร เพื่อนที่รู้จักกันจากกลุ่มบนเฟสบุ๊คและจะเข้า BBA Finance 🥳
- แนะนำตัวหน่อยจ้า
🍐 ชื่อแพรค่าา สอบเข้าตามอายุเลย ม.6 เรียนสายวิทย์คณิต
- ทำไมถึงเลือกมาเรียน BBA ที่ MUIC เลือกเรียนสาขา (Major) ไหน
🍐 เลือก BBA ที่ MUIC เพราะชอบคณิตกับอังกฤษ แล้วก็พยายามหนีจากวิทย์55555 แล้วก็เลือกมหิดลเพราะชอบบรรยากาศมหาลัย มันไม่กลางเมืองมากน่าจะไม่ค่อนวุ่นวาย(มั้ง) แล้วก็เลือกเรียน Finance จริงๆตอนแรกลังเลกับ IB (International Business)ด้วย แต่ด้วยความที่ที่บ้านไม่มีธุรกิจของตัวเองก็เลยคิดว่าเรียน Finance น่าจะต่อยอดทำงานในอนาคตได้มากกว่าเรียนแนว Entrepreneur ไปเลย
- ใช้คะแนนอะไรเท่าไหร่ในการสมัครเข้า MUIC
🍐 ใช้คะแนน IELTS 6.0 (Writing 5.5) คือคะแนนง่อยมากจริงๆ สอบครั้งแรกแล้วยื่นเลยเพราะขี้เกียจแล้ว 55555 แล้วก็ใช้ SAT math 700 ต้องสอบ writing ของ ม.เพิ่มอย่างเดียวค่า
- ตอนแรกพื้นฐานภาษาอังกฤษเป็นยังไงบ้าง
🍐 พื้นฐานอังกฤษคือเราเรียน EP มาตอนประถม ก็จะได้ conversation ซะส่วนใหญ่ แล้วก็ skill ข้อสอบพอมีติดตัวบ้าง แต่ แต่ แต่!!!! เราไม่ถูกกับ academic writing มากๆ คือเราเรียนวิทย์คณิตมาทั้งมัธยมเลย ละเขาไม่ค่อยเน้นวิชานี้ พอต้องไปทำอะไรที่วิชาการอิ้งจ๋าๆโดยที่ไม่ได้แตะมานานมันก็เลยเสียเปรียบกว่าคนที่เรียนอินเตอร์มาตลอดอยู่แล้ว
- ตอนสอบข้อเขียนเป็นยังไงบ้าง รู้สึกว่ามันยากมั้ย เลือกหัวข้ออะไรไป
🍐 สอบข้อเขียนรู้สึกว่ายากนะ มันเป็นคำถามแบบ opinion ภาพรวมระดับกว้างๆ เราต้องวิเคราะห์ว่าควรจะเขียนเหตุผลแนวไหน ถ้าเลือกทางไหนจะมีเหตุผลให้เขียนอธิบายได้มากกว่า เราเลือกหัวข้อ "ใครควรจะดูแลผู้สูงอายุ รัฐบาลหรือครอบครัว" จริงๆมันจะตอบอะไรก็ได้หมดแหละ เราว่าอยู่ที่เหตุผลประกอบแล้วก็โครงสร้างมากกว่า
- ตอนสอบสัมภาษณ์อาจารย์ถามอะไรบ้าง แล้วตอบไปคร่าวๆ ประมาณไหน
🍐 ตอนสัม major เราเจออาจารย์ไทยผู้หญิงทั้งสองคนเลย ใจดีมากๆ ส่วนใหญ่ก็ถามเรื่องทั่วๆไปเกี่ยวกับตัวเราเลย ประมาณว่า
✅ ทำไมเรียนวิทย์คณิตแล้วอยากมาต่อสายนี้ : เพราะไม่ชอบวิทย์ แล้วก็อธิบายขยายไปว่า เราคิดว่าวิทย์มีอีกหลายศาสตร์มากที่น่าเรียนรู้แต่เรามีวิชาให้เรียนในมัธยมแค่ 3 ตัว ซึ่งเราไม่ชอบสักอันเลย5555
✅ ทำไมเรียนวิทย์มาแล้วได้สำเนียงดี : เราบอกว่าตอนประถมเรียน EP
✅ แล้วย้ายสายมาพ่อแม่สนับสนุนหรอ : บอกว่าท่านเข้าใจว่าเป็นความชอบ เพราะตอนมัธยมเราเรียนวิทย์คณิตมาให้แล้ว แต่ก็ยังไม่โอเคอยู่ดี เลยขอทำสิ่งที่ตัวเองชอบ
✅ ทำไมเลือก Finance : เราบอกตรงๆตามที่บอกข้างบนเลย ว่าเลือกจากวิชาที่ชอบ แล้วก็คิดว่าชอบแนวการทำงานของบริหารด้วย
- ผลที่ได้ติดมาได้ IC เลย รู้สึกกลัวมั้ยว่าจะปรับตัวไม่ทัน
🍐 เอาจริงคือกลัวมากๆๆๆเลย อยากเรียน PC สักเทอมด้วยซ้ำ เรารู้สึกว่าเราเขียนได้ไม่เก่ง กลัวตามเพื่อนไม่ทัน แล้วยิ่งไม่ได้เรียนแบบอิ้งมานานมากๆคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะปรับตัวได้ ;-; อีกอย่างคือเปิดเทอมก่อนเพื่อนๆภาคไทยคนอื่นๆ เหมือนยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ต้องไปเป็นเด็กมหาลัยแล้ว กลัวเกรดเน่ามาก
- ตื่นเต้นมั้ยที่ได้เป็นเด็ก MUIC แล้ว !!!!
🍐 ตื่นเต้นมากเลยยย ได้ข่าวมาส่ารุ่นพี่ที่นี่ดูแลดี รับน้องดี รู้สึกว่าแนวคิดหลายอย่างของ MUIC ตรงกับสิ่งที่เราต้องการมากเลย ถ้าเรียนไปแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ก็ยังมีโอกาสเปลี่ยน Major ทัน
- มีอะไรอยากฝากน้องๆ ในอนาคตบ้างหรือเปล่า
🍐 อยากฝากว่า "การพยายามมันยากเสมอแหละ เพราะเรายังไม่รู้ว่าเส้นชัยมันมีมั้ย ไม่รู้ว่าที่พยายามอยู่มันจะสูญเปล่ามั้ย" แต่อยากให้ทุกคนทำให้เต็มที่ที่สุดก่อน เพราะเราไม่รู้ว่าผ่านไปอีก 3 เดือน 1 ปี เราจะยังมีไฟสอบเข้าเท่าตอนนี้มั้ย ถ้ามีโอกาสได้สอบแล้วก็ทำการสอบทุกครั้งให้ออกมาเต็มที่ที่สุดของเราก็พอ จะได้รู้ว่าศักยภาพของเรามันพาเราไปได้ขนาดไหน แล้วค่อยมาพัฒนากันไปเรื่อยๆ
(เราเพิ่งหาที่แพรรีวิวไว้ให้ก่อนหน้านั้นเจอ)
อันนี้สัมครั้งแรกน้าา ตอนแรกเข้าไปเจอกรรมการผู้หญิง 2 คน คนไทยทั้งคู่เลย( สัม Finance) เขาก็ให้ introduce yourself เราแนะนำว่าเราเรียนสายวิทย์คณิต เขาก็เลยบอกว่าสำเนียงโอเค เคยไปแลกเปลี่ยนมั้ย เราก็บอกว่าไม่ แต่เคยเรียน EP ตั้งแต่ประถมเลยคุ้นเคยบ้าง เขาถามต่อแล้วทำไมถึงเลือกมาต่อสายนี้(ไม่เรียนสายวิทย์ต่อ) เราตอบว่าไม่ค่อยชอบวิทย์ เขาถามต่อว่าเกรดก็โอเคทำไมไม่ชอบ เลยตอบว่าวิทย์มันกว้างมาก มีอีกหลาย field ที่ยังไม่ได้เรียน แต่เท่าที่เรียนมารู้สึกตัวเองต้องใช้ความพยายามกับวิชานี้มากกว่าอันอื่น แล้วเขาก็ถามต่อว่าทำไมเลือก Finance เราก็ตอบว่าจริงๆครอบครัวเราไม่มีใครมาสาย business เลย แต่เราอยากทำงานในสายนี้ แบบ want to be financially independent and obtain the employment with a reputable firm บลาๆ เขาก็ถามว่าแล้วที่บ้านทำอะไร เราก็บอกว่าเขาเป็นหมอ เขาก็ถามต่อว่าแล้วเรา convince พ่อแม่ยังไง จากนั้นเขาก็ชวนคุยว่ารู้จัก MUIC ได้ไง เราก็เลยบอกว่าเพราะพี่เฌอปราง เขาเลยแซวว่าแต่พี่เขาเรียนเคมีนะไรงี้ หลังจากนั้นก็ชวนคุยแบบจำไม่ได้แล้ว ละเขาก็ถามว่ามีอะไรสงสัยมั้ย เราเลยถามว่า major ไหนของ business ที่คนเรียนเยอะสุด เขาก็บอกว่า IB แล้วก็ Finance แล้วก็บอกว่าเราเลือก major ถูกแล้ว (จารย์อวย major ตัวเอง5555)
❤️ ปล. น้องๆที่ไม่ได้เรียนอังกฤษหรืออินเตอร์มาก็สู้ ๆ นะ ไม่มีอะไรสบายเกินไป เลือกสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะมันจะติดตัวเราไปอีกนานนนนมาก อย่าให้เวลาหรือสิ่งที่พลาดไปแล้วมากำหนดอนาคตเรา เพราะโอกาสตอนนี้มาถึงอีกครั้งแล้ว
--- ขอบคุณแพรมากๆ ที่ช่วยเขียนรีวิวให้แบบละเอียดมากๆ 😉 ---
รีวิวจากเพื่อนคน 1 (ไม่ประสงค์ออกนามภาษาไทย) BBA Marketing จย้า 💹
- ตอนยื่นเข้ามา MUIC ได้คะแนน IELTS และ SAT Math เท่าไหร่ พื้นฐานภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์เป็นยังไงบ้าง?
🍩 สวัสดีจ้า เราชื่อ ダン นะ อยู่ ICMK หรือ BBA Marketing ตอนเข้าที่นี่ เราเข้าแบบยื่นคะแนน (fast track) ได้ IELTS Overall 7.5 ได้ writing 7.0 ส่วน SAT Math ได้ 760 อ่า เป็นคนที่พื้นฐานภาษาอังกฤษกลางๆ ที่คิดว่าอ่อนสุดน่าจะเป็น speaking แหละ สำหรับเรา เวลาโจทย์มาหาเราในพาร์ท อื่นๆ มีเวลาให้เราคิดประมวลผลก่อนที่จะตอบมันออกไป แต่ในพาร์ทนี้เหมือนมันต้องตอบเลย เลยเป็นพาร์ทที่เราถนัดน้อยที่สุด และได้น้อยที่สุดใน 4 พาร์ทเลย 5555
- ทำไมถึงเลือก BBA Marketing ที่ MUIC ทั้งที่มีสาขาอื่นด้วย เช่น Finance, International Business, Business Economics ด้วย?
🍩 ที่เลือก major นี้ก็เหตุผลอ่ะยังไม่แน่ใจนักหรอก รู้ตัวว่าชอบเกี่ยวกับการบริหารมากๆ เลือก BBA เลย แต่ที่ย่อยลงไปอ่ะยังไม่แน่ใจ จริง ๆ สนใจไปหมดเลย แต่ที่เลือกเพราะเหมือนมันดูเป็นการ deal กับคนกับตลาด ได้ใช้ทักษะในตัวเองหลายๆอย่างรวม ๆ กัน คือยังไม่แน่ใจนะ ไว้เดี๋ยวเวลาผ่านไปละมาดูกันว่าคิดถูกไหม 5555
- อะไรเป็นจุดเปลี่ยนให้เลือกที่จะไม่เข้าฝั่งไทยและมาเข้าอินเตอร์แทน?
🍩 ที่เลือกอินเตอร์เพราะต้องการได้ฝึกภาษาในมหาวิทยาลัยที่มีบรรยากาศความนานาชาติมากที่สุด ซึ่งก็น่าจะเป็นที่ MUIC นี้แหละ โดยเฉพาะทักษะ speaking ต้องการพัฒนาตรงนี้มาก ๆ ให้พูดได้ดีและคล่อง การเลือกใช้ศัพท์ ก็สามารถเลือกได้โอเค เหมาะกับสถานการณ์นั้น ๆ ไม่สะดุด อะไรประมาณนี้
- มีทริคอะไรอยากฝากน้อง ๆ ที่ไม่เก่งเลขหรือภาษาอังกฤษแต่อยากเข้า BBA ที่ MUIC บ้าง? 🍩 สำหรับการอ่านหนังสือ เราว่าแต่ละคนก็คงมีวิธีที่ตัวเองรู้สึกว่าโอเคสำหรับตัวเองแหละ ซึ่งแตกต่างกันออกไปสำหรับแต่ละคน เช่น อาจจะหาเพื่อนทำด้วยกัน ติวด้วยกัน หรือไปเรียนเพิ่ม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าด้วยวิธีไหน ก็ต้องฝึกทำโจทย์ ฝึกเขียน ฝึกทำเยอะๆ ก็จะทำได้อย่างแน่นอน
- ตอนสัมภาษณ์โดนคำถามอะไรบ้าง กรรมการเป็นยังไง?
🍩 ตอนเราถูกสัมภาษณ์ ก็โดนถามคำถามทั่ว ๆ ไป แนะนำตัว ถามเกี่ยวกับครอบครัว อาชีพที่บ้าน ทำไมถึงอยากเรียนที่เลือกมา ละก็มีถามสถานการณ์เรื่องนึง ประมาณว่าถ้า social network นึงเอาข้อมูลที่เราให้ตอนลงทะเบียน ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ (หาผลประโยชน์) โดยไม่ได้ขออนุญาตเราก่อน คุณคิดเห็นอย่างไร ไรประมาณนี้ จริง ๆ ก็ตอบไม่ยากหรอก 5555
- มีอะไรอยากฝากถึงน้อง ๆ ว่าที่ MUIC ในอนาคตบ้าง? 🍩 ก็สู้ ๆ นะ ถ้าเลือกแล้ว.. ทุกคนตั้งใจ ทำได้แน่นอน คือมันต้องเหนื่อยเรื่อยๆแหละชีวิต ไม่ว่าเลือกทางไหน แต่ว่าถ้าเลือกทางที่ชอบแล้วมีความสุข ก็จะทำให้จิตใจเราสุขขึ้นได้ ถึงแม้จะเหนื่อยก็รู้สึกดีจะเหนื่อยตรงนั้น สู้ ๆ นะครับ ^_^
(อ่านละดูปลง ๆ ปะ 55555 จะบอกว่าความจริงแล้วคนนี้เทพมาก เด็กวิทย์คณิตจากโรงเรียนชื่อดังของไทย ได้ทั้งภาษาจีนและญี่ปุ่น และลงภาษาเยอรมันตอนเทอม 1 ด้วย 55555555555!!!!)
- ขอบคุณ ダン ด้วยนะฮะ -
รีวิว Pre-college แบบละเอียดจากคุณพุด 🌷
สวัสดีค่า วันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์การเรียน pc หรือ preparation center for Languages and Mathematics ของมหิดลอินเตอร์ (MUIC) นะคะ ต้องขอบอกก่อนว่าเราสอบเทียบนะคะแล้วตอนนั้นไม่มีคะแนน IELTS เลยสมัครสอบอังกฤษของมอไป แล้วได้ PC2 ค่ะ - PC จะมีทั้งหมด4 ระดับ 1-4 ในจะแบ่งเป็น 4 quaters ในแต่ละปี 1 quater = 10 weeks นักเรียนแต่ละคนสามารถ repeat ได้แค่ 1 ครั้งต่อหนึ่งระดับนะคะ หากซ้ำอีกรอบจะโดนลีฟค่า
เราขอพูดถึงแค่2-4 นะคะเราเรียนแค่นั้น
- PC 2: อันนี้จะเป็นการเรียนพื้นฐาน (การอ่าน, การฟัง, การเขียน) เลยค่ะ ฝึกเขียน opinion essay ปกติเลยค่ะ และมีการสอบ AWLในส่วนของ PC 2 จะมีการทำ term project ของแต่ละคนนะคะ ตอนปีของเราทำมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ASEAN country ก็หาข่าวมาแล้วอัดคลิปวิดีโอ พร้อมสัมภาษณ์ผู้รู้ 1 คนค่ะ ในส่วนของเทอมนี้ก็จะไม่ค่อยมีอะไรมาก
- PC 3: เลเวลนี้สำหรับเรารู้สึกยากขึ้นมามากๆเลยค่ะ เพราะว่าการเขียน essay จะมีแบ่งออกเป็น reference essay (ref) + unref ค่ะ
ในส่วนของ ref นั้นเราจะได้ฟัง audio และ มีบทความมาให้อ่าน พร้อมกับการจด short notes เพื่อนำมาเขียน essay ค่ะ หลังจากนั้นจะมีการสอบ discussion สิ่งทั้งหมดนี้รวมอยู่ในวิชา IS ค่ะ อาจารย์จะสอนการวิธีการเขียน APA หรือ การเขียนอ้างอิงเพื่อใช้ในการเขียน term paper+ref essay ค่ะ และใน unref จะเป็นการเขียนแบบ argumentative essay+ discursive essay ค่ะ ส่วนสำคัญของเทอมนี้คือ term paper ตอนนั้นเราได้ทำเรื่อง sustainable cities ค่ะ ต้องเขียนทั้งหมด 800-1200 คำ และในการเขียนนี้ต้องทำ research ค่า
- PC 4: และเราก็พยายามมากันถึงระดับสุดท้ายแล้วค่ะ!!! เทอมนี้เป็นการเรียนออนไลน์การเรียนการสอนจึงถูกปรับให้เข้ากับสถานการณ์มากขึ้น ของเราจะมีการแบ่งสอบ AWL Vocab แบบอาทิตย์เว้นอาทิตย์คาดว่าน่าจะเพื่อให้เด็กไม่เหนื่อยมาก เทอมนี้คล้าย pc3 เลยค่ะ ในส่วนของ term paper กำหนดอยู่ที่ 1200-1400 คำไม่รวมเรฟ เราได้ทำเรื่อง Innovation & Change ค่ะ ทุกอย่างเหมือนกันหมดแตกต่างที่ว่าถ้าปกติแล้วนักเรียนจะต้องมีการพรีเซ้นหน้าห้องของงาน term paper นะคะแต่เนื่องจากสถานการณ์ทำให้เราไม่ต้องทำค่ะในส่วนของ Discussion ก็จะมีปกติเลยค่ะทั้ง Midterm+Final จะเป็นการสรุป Reading+ Audio แล้วก็จะมีคำถามมาให้ เพื่อให้นักเรียนตอบคำถามค่ะ ในการเขียน essay เทอมนี้จะเป็น argumentative, discursive and cause & opinion ค่ะ มีทั้ง Ref+ Unref เหมือนเดิมค่ะ และหลังจากสอบ final เสร็จนะคะ ทางศูนย์จะประกาศรายชื่อนักเรียนที่มีสิทธิ์สอบTWE eligibility คือการสอบเขียน essay ที่ทางมหาลัยจัดขึ้นเพื่อวัดระดับว่านักเรียนควรจะเรียนภาษาอังกฤษระดับไหนในมหาลัยค่ะ
สุดท้ายสำหรับเราเราคิดว่าการเรียน pc มีประโยชน์นะคะ มันทำให้เราพัฒนาขึ้นมากๆเลยค่ะหลักๆก็การเขียน essay เลยเมื่อลองไปเทียบกับตอนเรียนpc2 มันอาจจะราคาสูงก็จริงนะคะ แต่ว่าเราว่ามันคุ้มค่ากับการลงทุน มันเหนื่อยนะคะเรียนpcแต่ว่าเรามองว่ามันฝึกความอดทนให้กับเราก่อนจะเข้ามหาลัยค่ะ เพราะเราต้องค้นคว้า ต้องเขียนอ้างอิง และ ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนในหลาย ๆ คณะค่ะ
- ขอบคุณข้อมูลจากคุณพุดด้วยนะคะที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่ได้ 🌷 -
รีวิวการเรียน Pre-college (PC) จากเจต นักยูธูปชื่อดังด้านแลกเปลี่ยนเมกา อิอิ 🤣
- ทำไมถึงเลือกมาเรียน Media and Communication ที่ MUIC เห็นว่าตอนแรกจะเข้า IR?
🌱 ป่าวเลย ตอนแรกคิดว่าเข้าตัวนี้เเหละ แต่พอไปๆมาๆ ค้นหาไปเรื่อยๆ ความสนใจด้านที่เราชอบก็มีด้านนี้ด้วย แต่สุดท้ายเราก็เลือกที่ชอบที่สุดคือ Media and Communication
- สอบเข้า MUIC ด้วยคะแนนอะไรบ้าง? 🌱 GED อย่างเดียว เเละสอบตรงของมหาลัยทั้งหมด ยกเว้น Math
- ตอนนี้ติด PC ตอนนั้นรู้สึกเฟลหรือเปล่า แล้วพอเข้ามาเรียนที่นี่จริงๆ เป็นยังไงบ้าง? 🌱 ถามว่าเฟลไหม? เผื่อใจระดับนึงอยู่เเล้วเพราะรีบเข้ามามากกว่า อยากเรียนมาก ม.5-6 เราไม่ได้เรียนไง เราลาออกมาก่อน เราเลยคิดว่ามันคงเป็นม.ปลาย ที่เน้นสอนอิงมากกว่าอะ เรื่องเรียนของที่นี่คือ เรียน Reading, Listening + Speaking (รวมในคาบเดียว), Writing, Math (บางคนเรียน) รีวิวว่าเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง: จะมีคนแนนแต่ละตัวใน PC คือต้องเกิน 65% จากค่าเฉลี่ยทั้งหมดรวมของ Midterm + Final term ถ้าไม่ผ่าน 65 % คือจะต้อง Repeat = ซ้ำชั้นนั้นละ เเละ repeat ได้แค่ 1 ครั้งเท่านั้น ตกครั้งต่อไปคือโดนเชิญออก เรียนวันไหนบ้าง วันละกี่ชั่วโมง: เรียนเเล้วแต่วัน เพราะบางวันเรียน 2 ชม. บางวันเรียน 4 ชม. แต่มากสุดคือ 6 ชม. เพราะเขาไม่ได้สอนทุกวันแบบตารางเต็มวันนะ เรียนแล้วรู้สึกเบื่อไหม: มีบ้างนะ เราก็รู้หลายเรื่องบางเรื่องที่ครูสอน สังคมใน PC เป็นยังไง: มีทั้งคนที่เข้ามาใหม่ กับ คนที่โดน repeat เข้ามาเรียนรวมกันในห้อง แต่ห้องเรียนแค่ 10-15 คนเท่านั้น สังคมเล็กเเละคุยกันสนิทไวมาก ไม่มีการ Bully เรื่องความรู้ เพื่อนทั้งใหม่เก่าช่วยกันจริงๆ เราไม่รู้อะไรชอบถามเพื่อนเสมอเลย เขาก็ยินดีตอบเสมอนะ ค่าใช้จ่ายต่อเทอม (เลเวล): 40,000 นิด ๆ จำตัวเลขแน่ชัดไม่ได้อะ สอบ pass ยังไง: เกิน 65% ของทั้งหมดครับ สกิลไหนพัฒนาบ้าง: ด้านเขียนมากสุดนะ เพราะว่าเขาจะเน้นเป็นแบบที่ MUIC ต้องการ 100% อะ เพราะทำผิดแบบก็โดนแก้เลย
- มีอะไรที่อยากบอกกับเพื่อนๆ หรือน้องๆ ที่ติด PC บ้างมั้ย เพราะเห็นว่าผู้ปกครองหรือตัวผู้สอบส่วนมากจะคิดมากสุดๆ เวลาที่รู้ว่าตัวเองติด PC? 🌱 ถ้าติดเเล้วคิดว่าตัวเองต้องการเข้า MUIC แบบ 100% ควรเข้ามาเรียนนะ เพราะการที่ไปเสี่ยงดวงกับ IELTS โดยที่เราต้องการเข้าที่นี่แน่นอน บางคนอาจไม่ไหวอย่างที่คิด มันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเข้ามากกว่าครับ
- การสอบของ PC เป็นยังไงบ้าง สอบแบบไหน (ข้อเขียนหรือชอยส์) คะแนนสอบออกตอนไหน? 🌱 มีหมด ทั้งข้อเขียน + ชอยส์ รวมถึง Use Of English (Grammar) ข้อสอบกลางภาคที่นี่ก็มีทั้งสองแบบเช่นกัน
- อาจารย์ใน PC ที่เจอเป็น native speaker ชาติไหนแล้วเค้าสอนดีมั้ย ปรึกษาอะไรได้มั้ย หรือว่าเฟรนด์ลี่กับนักเรียนมั้ย?
🌱 มีทั้ง เมกา อังกฤษ เเละออสเตรเลีย เฟรนด์ลี่ดีนะ เราชอบเมลไปถามครูเสมอเลยว่าอันนี้ทำยังไงๆ ครูตอบเมลไวอยู่นะ
- ชอบอะไรใน PC ไม่ชอบอะไรใน PC? 🌱 ชอบการเรียนนะ ไม่รู้สิ เพราะเราชอบอิ้งอยู่เเล้ว พอเรียนภาษายังไงก็ไม่เคยน่าเบื่อเลยอะ สนุกในแบบของเรา สิ่งที่ไม่ชอบมากที่สุดคือ บัตรมั้ง 5555 ต้องใส่บัตรตอนนั่งเรียนด้วย แต่พอเดินไปข้างนอกไม่ต้องก็ได้
- อยากฝากอะไรนอกเหนือจากคำถามที่เราถามมั้ย ฝากได้เลย! 🌱 ใครเคยคิดว่า PC ไม่ดี เข้ามาอาจเปลี่ยนความคิดก็ได้ เพราะเขาสอนแบบสอนจริงๆ ไม่ได้กักเด็กไว้ให้เรียนนะ เขาช่วยเหลือทุกด้านให้พัฒนาไปแบบ IC ที่ทางมหาลัยต้องการอะ ขัดเกลา Grammar และด้านอื่นทุกอย่าง คนเข้ามาเรียนไม่ใช่ว่า "ไม่เก่ง" แต่เราสามารถ"พัฒนา" ทักษะเราต่อไปดีขึ้นไปอีกมากกว่า
คำถามที่เจอบ่อยมากๆ เกี่ยวกับการ Apply เข้ามหิดลอินเตอร์ 🧐 :
1. ที่มหิดลมีกี่รอบให้สมัคร ใช้ระบบเทอมแบบไหน แล้วเราจะเรียนวนยังไงล่ะ? ✅ ที่มหิดลเราใช้ระบบ Trimester หรือระบบ 3 เทอมต่อปีการศึกษา เป็นระบบอังกฤษ โดยจะเปิดทั้งหมดมี 4 รอบต่อปีการศึกษาจ้า ก็คือรับนักศึกษาเข้าทุกเทอมนั่นเอง 1-2 : สมัครรอบเมษาและสิงหาตามลำดับ เข้าเรียนเทอม 1 เดือนกันยายนปีเดียวกัน 3 : ยื่นรอบตุลาคม สอบช่วงปลายเดือนตุลาคมและประกาศผลช่วงพฤศจิกายน เข้าเรียนเทอม 2 เดือนมกราปีถัดไป 4 : ยื่นรอบมกราคม สอบช่วงกุมภา และประกาศผลประมาณช่วงมีนา เข้าเรียนเทอม 3 เดือนเมษาปีเดียวกัน คือใครอยากจะรอเล่นศึก CU TU ค่อยมาสมัครรอบที่ 2 คือเดือนสิงหาก็ได้เหมือนกันจ้า
✅ ก็คือมันมีทั้งหมด 3 เทอมถูกมั้ย มันก็จะวนอย่างนี้เลยจ้า
1) สำหรับคนที่สมัครเข้ารอบที่ 1 และ 2 ที่เริ่มเรียนตอนกันยา: จะเข้าเรียนเทอม 1 เดือนต้นกันยาจะจบช่วงต้นเดือนธันวา ▶️ เทอม 2 เดือนต้นมกราจะจบช่วงต้นเดือนเมษา ▶️ เทอม 3 เรียนปลายเดือนเมษาจบช่วงปลายกรกฎาในปีถัดไป อันนี้ก็คือไล่เทอม 1-2-3 แบบปกติเลย ตามปฎิทินตัวอย่างข้างบน
2) เข้าเรียนเทอม 2 ที่เริ่มตอนเดือนมกรา: ต้นเดือนมกราจะจบช่วงต้นเมษา (นับเป็นเทอมที่ 1) ▶️ เทอม 3 เรียนปลายเดือนเมษาจบช่วงปลายกรกฎา (นับเป็นเทอมที่ 2) ▶️ กลับมาเรียนเทอมที่ 1 ของปีการศึกษาถัดไป ตอนกันยาจนถึงช่วงต้นธันวา (นับเป็นเทอมที่ 3) อันนี้คือไล่เทอมเป็น 2-3-1 ตามปฏิทันตัวอย่างข้างบน
3) เข้าเรียนเทอม 3 ที่เริ่มตอนเดือนเมษา: เริ่มตอนปลายเดือนเมษาจนถึงปลายกรกฎา (นับเป็นเทอมที่ 1) ▶️ กลับมาเรียนเทอมที่ 1 ของปีการศึกษาถัดไป ตอนต้นกันยาจนถึงต้นธันวา (นับเป็นเทอมที่ 2) ▶️ เรียนเทอมที่ 2 ต้นเดือนมกราจบช่วงต้นเมษา (นับเป็นเทอมที่ 3) อันนี้คือไล่เทอมแบบ 3-1-2 ตามปฏิทินตัวอย่างข้างบน
✅ ที่ MUIC จะเรียนเป็น 3 เทอม เทอมละ 12 weeks (ประมาณ 3 เดือนต่อเทอมรวมตอนสอบกลางภาคและปลายภาคแล้ว) ในการเรียนการสอน เท่ากับเรียนปีละ 36 weeks ส่วน Summer จะลงหรือไม่ลงก็ได้
✅ ช่วงปิดเทอมทั้งปีจะหยุด 12-13 weeks (ประมาณ 3 เดือน) มี่ไม่รู้นะว่าอีก 3 อาทิตย์จาก 52 อาทิตย์มันหายไปไหน 55555 เวลาที่ปิดเทอมนานที่สุดและสั้นที่สุดจะแบ่งยังไงคือ
- ช่วงระหว่างเทอม 3 กับเทอม 1 จะหยุดประมาณ 6 weeks (สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาจนช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกันยา)
- ช่วงระหว่างเทอม 1 กับเทอม 2 จะหยุดประมาณ 4 weeks (สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนธันวาจนถึงสัปดาห์แรกของเดือนมกรา)
- ช่วงระหว่างเทอม 2 กับเทอม 3 จะหยุดประมาณ 2-3 weeks (น่าจะช่วงสงกรานต์จนถึงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษา)
2. อะไรคือ Fast Track กับ Regular Track? ✅ Fast-track คือ "คะแนนผ่านเกณฑ์มหาลัยทุกอย่าง" ทั้งเลข (ในคณะที่ใช้เลข) และภาษาอังกฤษ (ได้ทั้ง IELTS, TOEFL IBT, PTE Pearson) - จะเข้า BBA, Science และ Engineering ต้องมี SAT Math 600+ (ACT 25), IELTS Overall and Writing 6.0+* - จะเข้า B.Com.Arts Media and Communication ต้องมี SAT Math 500+ (ACT 18+)
(สาขาเราเพิ่งเปลี่ยนกฎมาใช้ Math ตอนปีการศึกษา 2020 หรือรุ่น 638 จ้า เราเป็นรุ่นสุดท้ายที่ไม่ใช้ Math) - จะเข้า International Hospitality Management ต้องมี SAT Math 500 (ACT 18+)
*กรณีสอบภาษาอังกฤษมีตัวเลือกทั้งหมด 3 อย่างคือ
- IELTS คะแนน Overall 6 and Writing 6
- TOEFL IBT คะแนน Overall 69 and Writing 22
- PTE Pearson คะแนน Overall 50 and Writing 50
❌ สาขาที่ไม่ขอ SAT Math หรือ ACT: 1. International Relations and Global Affairs (IRGA) สาขานี้มีหลักสูตร 3 ปีจ้าาาาาา 2. Communication Design (Comm.De.) 3. BA (Arts): International Cultural Studies and Languages ❌
✅ Regular track คือ ไม่มี/ไม่ผ่านเกณฑ์อย่างใดอย่างนึง จึงต้องสอบข้อเขียนมหาลัยเพิ่มโดยตรง ▶️ ไม่มีคะแนนเลข/คะแนน SAT Math ไม่ถึงเกณฑ์: สอบเลขมหาลัยเพิ่มค่ะ ▶️ ไม่มีคะแนนภาษาอังกฤษ/คะแนน IELTS Overall ไม่ถึง 6/คะแนนภาษาไม่ผ่านเกณฑ์: สอบข้อสอบ TOEFL ITP พร้อม Writing Essay เพิ่มค่ะ
*** รวมถึงกรณีที่มี IELTS Overall 5.5 แต่ Writing 6 ด้วยค่ะ หรือ IELTS Overall 5.5 Writing 5.5 ก็ต้องสอบภาษาอังกฤษของมหาลัยทั้งหมด เพราะถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์มหาลัย *** ▶️ คะแนนภาษาอังกฤษพาร์ท Writing ไม่ถึงที่มหาลัยกำหนด (IELTS 6, TOEFL IBT ขั้นต่ำ 22, PTE 50): สอบ Writing Essay มหาลัยเพิ่มค่ะ *ในกรณีที่ไม่มีทั้ง 2 หรือ 3 อย่าง ต้องสอบผ่านทาง Regular เท่านั้นค่ะ (ITP, Writing, Math) โดยเฉพาะ IELTS Overall 6++ แต่ Writing ได้ 5.5 แล้ว สอบ Regular แบบไม่ต้องคิดจ้า 5555 (เราผ่านมาแว้วทั้ง 2 รอบ ติด IC ทั้ง 2 รอบว้าย 55555)
😩 ไม่ต้องมาถามเรานะคะว่า "ต้องยื่นรอบไหนถึงไม่ต้องสอบข้อเขียนมหาลัย/ที่สัมภาษณ์เลยก็ติด" MUIC Fast Track ไม่เคยเป็น แบบจุฬาที่มีพวก Early Admission, Early Action ค่ะ มันขึ้นอยู่กับคะแนนของตัวเองนะคะ ถ้าผ่านเกณฑ์ทั้งหมดก็ Fast Track ขาดหรือไม่ผ่านเกณฑ์อะไรก็ Regular แค่นั้น ไม่ใช่ว่ายื่นรอบนี้รอบนั้น สัมภาษณ์ได้เลยอย่างเดียว (ล้อกันเล่นหรือเปล่าคะ 55555)
3. IC กับ PC ต่างกันยังไงอะ?
✅ IC คือ International College คือได้รับการ accepted เข้า College โดยไม่ต้องปรับพื้นฐานอะไรเลย แปลว่าพื้นฐานเรา above average และเพียงพอต่อการเรียนในมหาลัยแล้ว
✅ PC คือ Pre-college เรียนเพื่อปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษหรือคณิตศาสตร์ มีทั้งหมด 4 ระดับคือ PC 1,2,3,4 โดยจะเรียนเลเวลละ 10 สัปดาห์ (ประมาณ 2 เดือนครึ่ง) ค่าเรียนถ้าจำไม่ผิดประมาณ 38,000 บาทต่อเลเวล (ไม่ต้องบ่นโลยยย ราคานี้เรียนภาษาเมืองนอกยังเรียนไม่ได้เลยจ้า 5555) และมี MP ด้วยสำหรับคนที่จะเข้าสายที่ต้องใช้ SAT/ACT Math หรือสอบตรงเลขมหาลัย (เค้าว่าง่ายกว่า SAT หน่อยนึง) แต่พื้นฐานเลขยังไม่ค่อยดี เลยต้องปรับตรงเลขเพิ่มแค่นั้นเอง ทางมหิดลมีระบบ PC เพื่อช่วยปรับพื้นฐานของเด็กให้แน่นและแข็งแรงพร้อมเข้าไปเรียนในมหาลัยให้มากที่สุดค่ะ เพื่อประโยชน์ของว่าที่นักศึกษาเองล้วนๆ นะคะ
4. งี้แปลว่าเราติด PC คือภาษาอังกฤษเราห่วยหรอ? ภาษาเราไม่ดีตรงไหนอะ? 😭 ❌ คนติด PC ไม่ได้แปลว่าภาษาอังกฤษไม่ดีนะคะ เพียงแต่ว่ามันยังไม่พอสำหรับการจะเข้าเรียน College เลย เพราะ MUIC เป็นระบบอินเตอร์เต็มตัวค่ะ โดยระบบของ MUIC จะเหมือนพวก Universities ในต่างประเทศมากๆ คือภาษาอังกฤษเรายังไม่ถึงเกณฑ์ที่มหาลัยอยากได้ เช่น มหาลัยขอ IELTS Overall 6.5, each component 6.0 แต่เราได้ Overall 6.5 มี 1 พาร์ทได้ 5.5 เราก็ต้องโดนปรับภาษา 10 สัปดาห์ก่อนเข้าเรียนในหลักสูตรป.ตรี/โท/เอก จริงๆ ค่ะ
"เพราะระหว่างปรับภาษาเพื่อให้ดีพอสำหรับการเข้าเรียน ย่อมดีกว่าเข้าไปแล้วเรียนไม่รู้เรื่อง ตามไม่ทัน ฟัง lecture ไม่ทัน จริงมั้ยคะ? ยอมเสียเวลาหน่อยแต่ได้พื้นดีจะได้ไม่ต้องเรียนลำบากนั้นดีกว่ามาก ๆ ค่ะ ต้องมองถึงผลประโยชน์ในระยะยาวซึ่งดีกับตัวเองนะคะ 👍"
😥 แต่เราไปแลกเปลี่ยนประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก/จบอินเตอร์/จบม.ปลายจากต่างประเทศ (ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักมานะ..)? - เข้ามาอ่านตรง FAQ ของ PC MUIC ก่อน จะได้เข้าใจว่าจริงๆ แล้ว MUIC มาตราฐานสูงจ้า - เพื่อนเราคนนึงเรียนจบนิวซีแลนด์มา (เรียนที่นั่น 3 ปี) สอบ IELTS 4 รอบก็ได้ Overall 6 แต่ Writing 5 สรุปติด PC 3 ใช้เวลาเรียน 6 เดือน ซึ่งมันไม่แปลกเลย เพราะมหิดลขอระดับภาษาค่อนข้างสูง (โดยเฉพาะตรง Writing ซึ่งเป็นปัญหาของเด็กโรงเรียนไทยมากๆ เช่น เรา เป็นต้น)
5. สามารถ Postpone เทอมเข้าเรียนตอนไหนได้บ้าง? ✅ ระบบ Postpone เพื่อศึกษาต่อสำหรับเด็กที่ติด IC เลยใช้ได้แต่กับเด็กในระบบโรงเรียนไทยและอินเตอร์เท่านั้น (IB, A-Level, AP) และสามารถทำ ได้แค่ 1 เทอมการศึกษาเท่านั้น เพราะต้องส่งใบจบและผลการเรียนให้มหาลัยภายใน 1 เทอม ไม่สามารถขอเลื่อนกว่านี้ได้ หรือเด็กที่จบจากต่างประเทศ เช่น สมัครเดือนตุลาคมตามรอบต้องเข้าศึกษาตอนเดือนมกราปีถัดไป แต่เรายังไม่จบม.6 ก็สามารถขอเข้าเรียนในเทอมถัดไปได้ ก็คือเทอมเมษา พร้อมจ่ายค่ารักษาสิทธิ์ (Admission Fee) 10,000 บาท
✅ ระบบ Postpone จะสามารถเลื่อนได้ 2 เทอมให้เฉพาะเด็กที่ติด PC และจะเข้าเรียนเท่านั้น ❌ เด็กที่สอบเทียบมา เช่น GED, IGCSE ไม่สามารถขอ Postpone ได้ทุกกรณี ติดแล้วต้องเข้าเรียนเลยตามรอบของมหาลัยเท่านั้น แนะนำว่าจะเรียนเทอมไหนก็สมัครรอบนั้นแหละ * ประเภทแบบจะสมัครรอบมกราแล้วขอเรียนกันยา ลืมไปได้เลยจ้า ไม่มีทาง ยกเว้นเด็กเรียน International Curriculum อะทำได้ เพราะเค้าจบมิถุนายน แต่เด็กไทยจบตั้งแต่มีนาแล้วจะเอาไปทำอะไรคะ ไม่งั้นก็ไปยื่นรอบเมษา/สิงหาจ้า ถ้าจะเรียนกันยา *
6. คะแนน GED แค่ผ่านเกณฑ์เกิน 600 มานิดหน่อย สมัครได้มั้ย? ✅ สมัครได้แน่นอน GED เพียงแค่คะแนนรวมเกิน 600 ก็โอเคแล้ว แต่ สำหรับ MUIC ต้องมีเกรดม.4 ทั้ง 2 เทอมด้วย (เป็นระบบกันเด็กออกจากโรงเรียนเร็วเกินไป) จะเป็นตอนไปแลกเปลี่ยนก็ได้แต่ยังไงก็ต้องมีเกรด 2 เทอมให้มหาลัยจ้า
7. ต้องเอาใบตัวจริง (Diploma and Transcript) ของ GED ไปด้วยมั้ย? ✅ ไม่ต้องสั่งตัวจริงแบบ Paper มาก็ได้ค่ะ เพราะทาง MUIC เค้าขอแค่ "ไฟล์" PDF ที่เราไปโหลดมาจาก GED Parchment นะคะ เค้าตรวจใบจริงปลอมโดยระบบ Blue Ribbon ค่ะ เพราะฉะนั้นสบายใจได้เลย
8. ถ้าได้ IELTS Overall 6 แต่ Writing 5.5 มีสิทธิ์ติด IC เลยมั้ย? ✅ โอกาสติด IC เลย เราให้ประมาณ 70-80% นะ เพียงแต่ทำตรง Essay มหาลัยให้ดีๆ หน่อย เพราะเพื่อนเราก็คะแนนประมาณนี้ ติด IC กันเกือบหมด (เท่าที่เรารู้)
ปล. เราเจอแล้ว... คนนึง IELTS Overall 6.0 แต่ Writing 5.5 ติด PC 2 ก็มีด้วยจ้า แล้วแต่คะแนนวิชา Writing Essay ของมหาลัยล้วน ๆ เลย ✌ แต่ถ้า Writing 5 ควรกลับไปอัพคะแนนใหม่นะ เพราะโอกาสติด PC 1-3 เยอะมากกกก ดูอันตรายเกินไปหากไม่อยากเข้าไปเรียน PC อะนะ แต่ถ้าไม่มายด์ถือว่าได้ปรับภาษาก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่จะเรียน PC จ้า นานาจิตตัง ถ้าคิดว่าภาษาอังกฤษตัวเองยังไม่พอก็เข้า PC ไปดีกว่า
9. คนติด PC ระดับไหนมากที่สุด? ✅ ที่เรานับมารอบของเรา คนติด PC 1 กับ 2 จะเยอะมากๆๆๆ ส่วน PC 3 จะเริ่มน้อยลง แต่ PC 4 คือเบาบางมาก รอบตุลา ปี 2019 มีคนติดแค่ 3 คน เท่านั้นจากการสมัครร่วม 700 คน!!! รอบมกรา ปี 2020 (เข้าเทอม 3 ปีการศึกษา 2019) มีคนได้ PC 4 แค่ 11 คนจากที่สมัครมา 1,1xx คน เฉลี่ยแล้วจะติด PC กันประมาณ 100 กว่าคนจากรอบที่สมัครมา 700 คน หรือติดกัน 200 ปลาย ๆ จากรอบสมัครที่มากสุด 1,1xx คนจ้า
10. ระหว่างเรียน PC ไม่อยากเสียเวลาแล้ว ออกมาสอบวัดภาษาใหม่แล้วยื่น IC เลยได้มั้ย? ✅ แบบนั้นก็สามารถทำได้จ้า ถ้าจะเอา Fast Track ก็สอบ IELTS Overall 6, Writing 6 เลย เห็นเพื่อนเราที่เรียน PC 3 บอกว่าหลังเพื่อนจบ PC 3 ไปสอบ IELTS มาก็ได้เข้า IC ไปเลย 2 คน ประหยัดเวลาและค่าเรียนไปอีกเลเวลนึง อันนี้นานาจิตตัง ถ้าใครคิดว่ายังไม่พร้อมเลย กลัวตามไม่ทัน ก็เรียนให้จบ PC 4 ไป แล้วก็จะสามารถเข้า IC ได้เลยในกรณีที่สอบผ่านการวัดระดับสุดท้ายจ้า
11. การสอบข้อเขียนยากมั้ย?
✅ ก็ IELTS Writing Task 2 ดีๆ นั่นแหละ กำหนดขั้นต่ำ 250 คำ แต่ให้เวลา 1 ชม. ไม่มี Task 1 มี 2 topics ให้เลือกเอามาเขียนอันใดอันนึง เขียนด้วยปากกานะ!! ใครเขียนด้วยดินสอฉันจะตีมือเธอ!! Admission team ตอนนั้นโคตรดุ แบบมีคนสอบละใช้ดินสอประกาศออกไมค์ด้วยความโมโหนิดๆ ว่าให้ใช้ปากกา 55555 สำหรับตัวอย่างเรื่องที่สอบเขียน 2 รอบนั้นอยู่ข้างบน ไปไล่อ่านเอาเด้อ เขียนไว้แล้วววว
12. ส่งผลสอบ IELTS แบบ E Test Result Form (TRF) ผ่านทาง British Council/IDP ยังไง? ✅ สำหรับ IDP ให้ไลน์/โทรถามและกรอกฟอร์มส่งกลับไปหาทาง IDP ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมค่ะ ✅ สำหรับ BC น่าจะเหมือนกันนะคะ พอดีเรายื่นกับ IDP
13. (แนะนำ) สำหรับคนที่สอบ GED ควรไปยื่นที่มหาลัย ไม่ควรส่งไปรษณีย์นะคะ เพราะมันจะมีใบให้กรอกว่าทำไมถึงสอบเทียบอะค่ะ บนเว็บไม่มี มีแต่ของที่มหาลัยเท่านั้น
14. มีทริคในการทำข้อสอบ Writing ของ MUIC มั้ยคะ? ✅ ไม่มีค่ะ จากใจจริงนะ ตอนแรกเราคิดว่าจะเรียนติวเขียนเพิ่มเหมือนกัน แต่ตอนหลังคิดว่ามันไม่ได้ยากมาก เราเลยเอาเวลาที่จะเรียน Writing ไปเรียน Film แทนอะค่ะ อันนี้เราไม่ได้ช่าหรืออะไร คือเราแค่ทำใจให้สงบสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่เครียด ไม่คิดมาก ไม่กังวล ทำให้เต็มที่ที่สุดพอ แล้วก็ไปสอบเลยอะค่ะ เราติด IC ทั้ง 2 รอบค่ะ เราไม่ได้ฝึกเขียนอะไรเลยด้วยระหว่างนั้น เพราะแค่งานที่โรงเรียนก็ใกล้ตายแล้วค่ะ แต่สำหรับใครที่ไม่มั่นใจจริงๆ ก็ควรลองฝึก Writing Task 2 ของ IELTS อะค่ะ ไม่ต้องตาม Pattern มาก เอาที่มันใส่ความเป็นตัวของตัวเองลงไปพอ (ไม่จำเป็นต้องจำสูตรสำเร็จอะไรเลย ไม่มีประโยชน์) 🙂
15. เอกสารต้องใช้อะไรในการสมัครบ้าง? ✅ เอ่ออออ ข้างบนช้านก็เขียนไว้ให้แล้วายยยยย โถ่ถ่ถ่ถ่ ในเว็บมหาลัยมีบอกหมดเลยนะ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เลื่อนไปดูเลยจ้า มีทั้ง Regular และ Fast-track ป้อนให้หมดแล้วเด้อ ไปเคี้ยวกันเอาเองๆ 😅 (อย่าส่งมาถามเลยว่าใช้อะไรบ้าง หน้าเว็บเค้าบอกละเอียดมากๆ) ❌ เด็กที่ใช้ GED เทียบวุฒิมาไม่ต้องเอาจดหมายรับรองความประพฤติไปให้มหาลัย (ก็จบ GED คือ Homeschool ไม่ได้มี Teacher ที่รู้จักเรามานานๆ เหมือนในโรงเรียนนี่ จะเอาไปเขียนทำไมกัน)
16. เด็ก GED จะมีการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์เป็น 165 ตอนปีการศึกษา 2563 มั้ย? ✅ ตอนนี้ที่ถามทาง MUIC มา เค้าบอกว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นเกณฑ์ 165 เหมือนที่พูดไว้ตอนแรกที่ตอนนั้น TU ปรับเป็น 165 ตอนนั้นมีคนไปถามทางมหาลัย เค้าบอกว่าจะปรับตอน 63 เป็น 165 แต่เราถามให้อีกรอบแล้วนะ (วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2020) เค้าบอกว่า "ยังไม่เปลี่ยนแปลง" เท่ากับว่า เราสามารถใช้ GED คะแนนรวมที่ 600 คะแนน + เกรดม.4 2 เทอมได้เหมือนเดิม
17. ค่าเทอมของแต่ละสาขาที่ MUIC อยู่ที่เท่าไหร่ แบ่งจ่ายยังไงบ้าง?
สังเกตดีๆ มีค่า University Fee ต่อเทอมด้วยนะ 555555 ฟีลแบบค่าใช้สถานที่อะไรงี้แหละ
3 สาขาแรกที่ค่าเทอมตลอด 4 ปี แพงหูฉี่มากที่สุด:
1) ค่าเทอมที่แพงที่สุดคือสาขา Communication Design (CommDe) คือ 874,300 บาท
2) รองลงมาเป็น Media and Communication คือ 823,900 บาท
3) อันดับสุดท้ายคือ Chemistry คือ 799,500 บาท
3 สาขาแรกที่ค่าเทอมสบายกระเป๋ามากที่สุด:
1) International Relations and Global Affairs คือ 674,000 บาท (ที่สำคัญมีหลักสูตร 3 ปีด้วยนะ)
2) Intercultural Studies and Languages คือ 732,700 บาท
3) หลักสูตร BBA ทั้งหมด 4 สาขา คือ 740,800 บาท
✅ สำหรับค่าเทอมที่นี่แบ่งจ่ายเป็น "รายเทอม" ก็คือจ่ายทั้งหมด 3 เทอมต่อปี ไม่รับการจ่ายแบบรายปีค่ะ ก็คือเอาค่าเทอมทั้งหมดมาหาร 4 และหาร 3 อีกทีจะได้ค่าเทอมรายเทอมค่ะ
ปล. ค่าเรียนคือค่าเรียนนะคะ บวกค่า university fee 20,000 บาท จ่ายทุกเทอม 20,000 x 12 = 240,000 บาทด้วยค่ะ
17. ตอนสมัครต้องสมัครยังไงบ้าง อ่านแล้วรู้สึกงงๆ ?
✅ คือเวลาที่เราสมัครอะ เราจะต้องเริ่มจากการกรอก application form บนหน้าเว็บของมหาลัยก่อน ชื่อว่า "sky-p" ก็กรอกไปตามที่เค้าถามและความเป็นจริง คือระบบมันกรอกง่าย มากๆ พอเรากรอกข้อมูลเสร็จหมด อย่าลืมเช็คความถูกต้องทั้งหมดด้วยนะ สำคัญมากๆ ห้ามลืมเด็ดขาด การสมัครเข้ามหาลัยเราจะพลาดไม่ได้เลย ไม่งั้นเข้าข่ายข้อมูลเท็จนะ พอกรอกใบสมัครเสร็จ เราก็ต้องเตรียมพวก required documents ให้มหาลัยให้หมด
การส่งเอกสารจะมี 2 แบบคือ
1. ส่งแบบตัวต่อตัวที่มหาลัย : อันนี้สามารถส่งได้ตั้งแต่วันแรกที่รับสมัครยัน deadline
2. ส่งไปรษณีย์ไปให้มหาลัย : อันนี้จะมี deadline เร็วกว่าแบบที่ส่งตัวต่อตัว และมหาลัยจะดูวันประทับตราส่งเป็นหลัก
ส่วนการโอนเงินค่าสมัครเราสามารถ
1. โอนเงินแล้วแนบ pay-in-slip ไปให้มหาลัย
2. จ่ายเงินสดตัวต่อตัวก็ได้ :สำหรับคนที่ส่งเอกสารแบบตัวต่อตัว
* คนที่สมัครแบบตัวต่อตัวจะโอนเงินหรือจ่ายเงินสดก็ได้ เพราะตอนที่มี่ไปสมัครมี่ก็โอนเงินแล้วแนบ slip เอาเหมือนกัน
** สำหรับรอบ Special Admission April 2020 หรือรอบช่วงโควิด อาจจะแตกต่างกันออกไปนะคะ เพราะเป็นรอบพิเศษต่างกับตอนที่มี่สมัครมาก ๆ เลยค่ะ **
ใครที่มีคำถามหรือสงสัยอะไรส่งมาถามได้ที่
- Facebook Page: Mie as a media com student - ชีวิตมี่เมื่อเรียนมีเดียคอม ฝากกดไลก์และกดแชร์เพจด้วยนะคะ จะรับตอบคำถามแค่วันจันทร์-พุธ 11.00-19.00 เท่านั้นนะคะ อาจจะมีเข้าไปเช็คบ้างนะคะ ถ้า urgent มาก อาจช่วยตอบค่ะ แต่จริง ๆ ก็ไม่ค่อยตอบเพราะว่าเราพยายามจะอยู่ห่าง ๆ จาก social media แล้วค่ะ 🙏🏻 เราเหนื่อยมาก
- Twitter: @askmiedyasha อาจจะตอบช้ากว่า Facebook นะคะ
- Instagram: miedya_thetraveller
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะ อนาคตเด็ก MUIC ทุกคน 💙
- เจ้ามี่ -
first posted: 12 january 2020
updated: 22 may 2022
Comments