top of page
Writer's picturemie dyasha wong🍦

Duolingo English Test (Ver. 2021) by Mie Dyasha 🇺🇸

Updated: Apr 9, 2023

สวัสดีค่าาาาา 🙏


ก็คือตัวมี่เองหายไปสักพัก เพราะว่าก็ยุ่ง ๆ กับการเรียนที่ MUIC มาก ๆ เลย แต่ว่าตอนนี้ว่างแล้ว (เพราะจบ final เทอม 1 ปี 3 แล้ว 555555 เดี๋ยวบล็อครีวิวการเรียนก็จะตามมาเร็ว ๆ นี้แหละ รอไปก่อนนะ) ก็เลยอยากมารีวิวข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่เพิ่งสอบไปไม่นานมานี้นั่นเองค่ะ จริง ๆ มี่เคยรีวิว Duolingo English Test หรือ DET ไปแล้วตอนปี 2018 จิ้มลิงก์สีน้ำเงินที่แปะไว้ให้ได้เลยนะ 🤗 ก็คือประมาณ 3 ปีที่แล้ว (แอบรู้สึกว่ามาก่อนกาลนิดนึง 555) แต่ตอนนี้บล็อคนั้นก็คือคนยังอ่านกันเยอะอยู่เลย และตัวข้อสอบปี 2021 มีเปลี่ยนไปบ้างก็เลยอยากลองใหม่ดูว่ามีอะไรน่าสนใจเพิ่มขึ้นบ้าง หวังว่าจะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านทุกท่านนะคะ 😃 ถือว่ามี่มาแนะนำ alternative test ก็แล้วกันนะคะ 🙏

Cover Page พร้อมกับคะแนนของตัวมี่เองค่ะ เค้าได้มา 130 จาก 160 คะแนนค้าบ – by Mie Dyasha ❤️

😊 เรื่องของเรื่องคือตอนนั้นที่สอบปี 2018 มี่อยากลองของใหม่เลยลองดู 555 แต่ตอนนั้นที่ตั้งกระทู้ไปก็คือมีคนมาเหน็บแหละว่ามันคือข้อสอบที่ไม่ได้มาตราฐานบ้าง อะไรบ้าง ก็เข้าใจเค้าแหละเนอะ แต่เราได้คะแนนพวกนี้มาจากความสามารถของเราจริง ๆ และเราก็ไม่ได้ไปทำอะไรที่เกี่ยวกับ dishonesty เลย เราก็เลยมีแอบไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคนที่พูดเท่าไหร่ เพราะถ้าคนเค้าจะ cheating ต่อให้สอบ SELT (secure English language test) ก็ cheat ได้ (มันก็มี scandals เรื่องนี้อยู่กับข้อสอบที่ secure เหมือนกัน เราก็รู้อยู่แต่เราไม่ได้ไป committed อะไรแบบนั้น เรารู้สึกว่ามันแล้วแต่คนอะ you shouldn't be SO QUICK TO JUDGE) เราก็เลยคิดว่าลองสอบใหม่อีกรอบและทำรีวิวดูน่าจะเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันด้วย ไม่อยากให้ COVID มาทำให้ชีวิตคนเราหยุดชะงักหากต้องการจะไปเรียนต่อหรือว่าย้ายประเทศอะ อย่างที่บอกว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ตัว Duolingo English Test หรือเราขอเรียกสั้น ๆ ว่า "DET" นั้นเป็นข้อสอบที่มาแรงพอสมควร เพราะมันเป็นข้อสอบที่สอบออนไลน์จากที่บ้านได้, ไม่ต้องเดินทางไปศูนย์สอบ (สถานการณ์ pandemic ค่อนข้างไม่เอื้อความสะดวกให้ไปสอบที่ test centre เท่าไหร่ คือว่าถึงจองสอบได้ แต่ถ้าทาง test centre ยกเลิกมาก็คืออดสอบไปเลย แต่เวลาที่จองและเตรียมตัวเพื่อสอบมันเอากลับมาไม่ได้ไง มันก็เหมือนเราเสียโอกาสและเวลาไปฟรี ๆ)

🇬🇧 จริง ๆ ตอนนี้ตัวข้อสอบที่เป็นแกนหลักในการวัดระดับภาษาอังกฤษอย่าง TOEFL iBT และ IELTS ก็ออกตัวข้อสอบแบบที่สอบที่บ้านได้แล้วเหมือนกันนะ โดยของ TOEFL iBT จะชื่อว่า TOEFL iBT Home Edition ซึ่งจะเป็น Test at Home ส่วนของ IELTS จะชื่อว่า IELTS Indicator แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าหน้าเว็บของ IELTS Indicator จะระบุชัดเจนมากว่ามันไม่ได้ถูกยอมรับทุก organisations หรือ immigration purposes เพราะมันมีแค่แบบ Academic (ก็คือไม่มี UKVI หรือ General Training modules) ซึ่งตอนนี้ก็คือบางมหาลัยในต่างประเทศ (ก็ส่วนมากนะที่รับ แบบไปส่องมหาวิทยาลัยในอังกฤษ ตรง English requirements มาก็จะมีทั้ง IELTS Academic และ IELTS Indicator ด้วย) ก็จะรับ IELTS Indicator และ TOEFL iBT Home Edition แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ถ้าอยากจะ make sure ว่ายื่นได้ทุกมหาลัยปลายทางจริง ๆ ก็ยังคงแนะนำให้สอบที่ test centres เหมือนเดิมนะคะ แต่ถ้ามีมหาลัยในใจแล้ว แนะนำให้เช็คกับทาง destination university ดูว่าเค้ารับ modules ไหน แล้วก็ค่อยตัดสินใจสอบค่ะ (*เตือนแล้วนะ อิอิ*)

🇺🇸 ส่วนของอเมริกาจะค่อนข้าง flexible เลย ก็คือรับหมด (IELTS, TOEFL และตอนนี้บางที่ก็รับ DET ด้วยนะ) อาจจะเป็นเพราะว่าทางอเมริกาเค้าไม่ได้ขอผลสอบภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการทำวีซ่าหรือสำหรับ immigration (อังกฤษจะขอ UKVI number ที่ใช้สำหรับการเรียนต่อแบบประเทศอังกฤษนั่นเอง ตัว UKVI คือตัวที่ใช้สำหรับการเรียนต่อระดับก่อนปริญญา เช่น foundation programmes เตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรี, pre-sessional English, pre-master ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ undergraduate (UG), postgraduate (PG), PhD นั่นเองค่า) ตัว DET นี่บางมหาลัยที่ดัง ๆ หรือ Ivy League ของอเมริกาก็มีรับแล้วเหมือนกันนะ แต่เงื่อนไขหรือ conditional เป็นอย่างไรต้องหาอ่านเองนะคะ แต่ส่วนมากก็คือยังจะรับสำหรับปี 2022 อยู่ แต่อาจจะ specific หรือกำหนด intake มาชัดเจนนะ

🍨 ถือว่ามี่มาแนะนำข้อสอบนี้เป็นข้อสอบทางเลือกหรือ alternative test เท่านั้นนะคะ ถ้าใครสะดวกและสามารถไปสอบที่ test centre ได้ จะเป็น TOEFL iBT, IELTS Academic/General Training หรือ UKVI และ Pearson PTE ได้ ก็ยังแนะนำให้ไปสอบข้อสอบเหล่านี้มากกว่านะคะ เพราะว่ามันค่อนข้างรัดกุมกว่าเรื่อง honesty, เป็นที่ยอมรับจาก organisations หรือ universities มากกว่าด้วย รวมถึงอาจจะเสียเงินแพงกว่าแบบ Home Edition/Indicator นิดนึงประมาณเกือบพัน แต่มัน sure กว่าด้วยค่ะ (เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย) แต่ถ้าสำหรับใครที่ไม่สะดวกไปสอบที่ศูนย์สอบจริง ๆ เพราะที่บ้านไม่ให้ไป (แบบว่าเป็นห่วง กลัวติดโควิดอะไรงี้) และมหาวิทยาลัยที่สนใจก็รับ DET ก็มาสอบตัวนี้ก็ได้นะคะ หรือจะไปทาง TOEFL iBT Home Edition, IELTS Indicator ก็ได้

✅ คำเตือน:

- ขอแค่ท่านผู้อ่านเช็ค requirements ต่าง ๆ จากหน้าเว็บ official ของ university destination ให้ดีค่ะ เพราะว่ามันจะชัวร์ที่สุด (ส่วนมากหน้าเว็บ official จะมีบอกข้อมูลครบหมดเลย แต่ถ้าไม่ชัวร์จริง ๆ แนะนำให้ติดต่อ admissions ของมหาวิทยาลัยนั้น ๆ โดยตรงนะคะ)

- ไม่ได้มาขายของข้อสอบตัวนี้นะคะ บล็อคนี้เป็นการจ่ายเงินของเรา 100% เลยค่ะ เราแค่มาเล่าให้ฟังเฉย ๆ และลองชั่งน้ำหนัก ตัดสินใจตามที่เหมาะสมกับสถานการณ์รวมถึงทางเลือกของตัวเองให้ได้ค่ะ

👍 สำหรับความสะดวกในการอ่าน: มี่ได้แปะลิงก์ต่าง ๆ ไว้ให้โดยจะสามารถคลิกลิงก์เพื่ออ่านได้เลยนะคะ โดยปกติจะเป็น << แบบนี้ >> ค่ะ

 

⌨️ เริ่มทำความรู้จักกับ Duolingo English Test (DET) ก่อน 📝

หน้าเว็บของ Duolingo English Test

☀️ ใครที่สนใจจะลองเข้าไปดู ลองเข้าไปดูที่เว็บนี้ได้เลยนะคะ DET home page

😃 สำหรับตัวมี่เอง ตัว DET มีจุดเด่นอยู่ 3 อย่างค่ะ (และทาง DET ก็มองว่าเป็นจุดเด่นของตัวเองเช่นกันแหละนะ) ก็คือ

จุดเด่นของข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ Duolingo English Test (DET)
  1. สอบ online จากที่บ้านได้เลย เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์ เพราะที่บ้านค่อนข้างกังวลเรื่องโควิดมาก เพราะที่บ้านมีผู้สูงอายุและเราคลุกคลีกันเกือบทุกวันค่ะ ก็เลยต้อง save เค้าไว้ก่อนเลย จะสอบตอนไหน ที่ไหนก็ได้ แล้วแต่เวลาสะดวกของผู้สอบเองเลย

  2. ค่าสอบราคาค่อนข้างโอเคค่ะ (49 USD ยังไม่รวม applicable taxes นะคะ) เนื่องจากมี่ต้องออกเงินค่าสอบเอง ก็เลย save ตังค์ไปก่อน 555 เพราะยังไงปีหน้าก็ต้องสอบ IELTS อีกอยู่ดี 🤫

  3. อันนี้ทีเด็ดสุด มี่เป็นคนไม่ชอบรอผลสอบนาน ๆ ค่ะ มันแบบ... ใจไม่ค่อยดีอะ 5555 ก็คือ... ข้อสอบตัวนี้การันตีว่าผลสอบออกภายใน 48 ชั่วโมงเลย (ยังไงก็ไม่เกิน 2 วัน) ซึ่งมี่ก็แอบสงสัยเหมือนกันนะ ว่าทำไมพวก IELTS ขนาดสอบ Computer-delivered ยังต้องรอขั้นต่ำ 3-5 วันทำการ เพราะตอนนั้นที่มี่สอบ GED อะ (สอบเทียบวุฒิม.6 ระบบอเมริกัน) เร็วสุดไม่เกิน 20 นาทีหลัง submitted ข้อสอบก็คือ test scores ส่งมาในเมลแล้ว แต่ปกติจะรอ 1-2 ชั่วโมง ช้าสุดก็คือ 2 วัน (เฉพาะ RLA วิชาเดียว) แต่ของ TOEFL iBT ก็คือประมาณ 6 วัน ผลถึงจะออก

สิ่งที่ต้องมีสำหรับการสอบ Duolingo English Test

ส่วนตัวว่าสิ่งที่ทาง DET ขอเนี่ย ก็คือสิ่งที่ทุกคนมีและต้องใช้ในการเรียนหรือทำงานจากที่บ้าน (work from home/ WFH) กันอยู่แล้วอะเนอะ ก็คือ "คอมพิวเตอร์" นั่นแหละ มี่ก็เรียนออนไลน์จากที่บ้าน ไม่มีเทอมใดได้กลับไปเรียนที่ campus แบบเต็มตัว 5555 (จะ online จนถึงปี 4 เลยไหมอะ) 😅

❤️ ที่สำคัญคือขอแค่... มีคอมพิวเตอร์ที่มีกล้องหน้า/microphone/speaker, ห้องที่สว่างแบบแสงเพียงพอและเงียบ, passport/ใบขับขี่ หรือบัตรประชาชน, อินเตอร์เน็ตที่เสถียร, บัตรเครดิต/เดบิตที่เพียงพอต่อการชำระเงิน 49 USD (ไม่รวม tax นะ ตอนนั้นที่เราจ่ายไป เราโดนไป 1,654 บาท), เวลา 1 ชม. ในการติดตั้งข้อสอบและทำข้อสอบ และที่สำคัญคือต้องอยู่คนเดียวในห้องที่บ้าน ก็คือสามารถสอบได้แล้ว 😆

เวลาที่ต้องใช้ในการเตรียมตัวและสอบ DET

⏱ มาต่อกันที่เรื่องของเวลาที่ต้องใช้ในการติดตั้ง application, การสอบและ video interview ที่ต้องส่งให้ทางมหาวิทยาลัยแล้วกันนะคะ

  • การ setup (การติดตั้ง application) 5 นาที: ตัวแอพที่ต้องใช้สอบจะชื่อว่า Duolingo English Test ซึ่งจะสามารถดาวน์โหลดจากหน้าเว็บของ DET เองหลังจากที่ purchased (ซื้อและจ่ายเงิน) ข้อสอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้าใช้ Mac (OS) ก็จะสามารถโหลดและย้ายไปที่ applications ของ laptop ได้เลย ซึ่งก็จะสะดวกมาก ๆ

  • การสอบวัดระดับ (graded section) 45 นาที: ตัวข้อสอบ DET เนี่ย จะเป็น adaptive test หรือหมายความว่าถ้ายิ่งตอบถูกเยอะ ข้อสอบก็จะยากขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาระดับที่ผู้สอบจะไปต่อไม่ได้แล้วนั่นเอง (ก็คือจะอยู่ที่ proficiency หรือระดับภาษาอังกฤษของผู้สอบเอง) ข้อสอบที่แต่ละคนได้ก็จะไม่เหมือนกันเลย มันอยู่ที่ว่า AI สุ่มอะไรมาให้เราทำนั่นเอง ซึ่งก็จะวัด skills ครบ 4 ทักษะก็คือการฟัง, การพูด, การอ่านและการเขียน แต่บนผลสอบ DET ทาง Duolingo จะเรียก skills เหล่านี้แตกต่างกันออกไปนะ เดี๋ยวมี่จะอธิบายให้ฟังตรงช่วงรีวิวการสอบก็แล้วกันเนอะ

  • การเขียนและพูดเพื่อส่งให้มหาวิทยาลัย (video interview) 10 นาที: อีกอย่างที่แตกต่างของ DET ก็คือพาร์ทนี้นั่นเอง โดยจะวัด active skills ของผู้สอบคือ writing (การเขียน) และ speaking (การพูด) ซึ่งก็จะมี 2 topics มาให้เลือกตอบเพียง 1 อันทั้ง 2 ทักษะ ซึ่งการเขียนก็คือจะเป็น topic ที่ออกแนวเกี่ยวกับวิชาการหน่อย ๆ และก็การพูดจะเหมือนให้ reflect ประสบการณ์ชีวิตของเรา พอจบตรงนี้ก็คือจะเป็น examples ที่จะส่งไปให้ทางมหาวิทยาลัยพร้อมกับ test scores (overall & sub-scores) ด้วย เพื่อที่จะให้มหาวิทยาลัยดู skills ของเราว่ามันสมเหตุสมผล (reasonable) หรือไม่ สรุปก็คือไม่คิดคะแนนพาร์ทนี้นะ แต่มันจะถูกส่งไปที่มหาวิทยาลัยปลายทางที่เราส่ง test scores

สนใจข้อสอบ DET นะ แต่... จะเตรียมตัวยังไงล่ะ?

🇺🇸 ข้อสอบ DET จะไม่ได้ออกพวก preparation books แบบที่ IELTS, TOEFL, Pearson มีนั่นเอง แต่สามารถฝึกทำ practice tests ได้ฟรีจาก official website เองเลย จะฝึกกี่ครั้งก็ได้จนกว่าจะคุ้นชินกับข้อสอบตัวนี้ ซึ่งตัว practice tests ก็คือสิ่งที่มี่ทำเพื่อที่จะเข้าใจกับข้อสอบมากขึ้นค่ะ ส่วน question types กับ tips และตัว official test readiness guide เนี่ย มี่ไม่ได้ใช้ค่ะ (เอาจริง ๆ ก็คือไม่เห็นและไม่รู้ด้วยว่ามันมี 555555 แต่ท่านผู้อ่านรู้แล้วนะว่ามันมี เพราะฉะนั้นก็ไปอ่าน ๆ กันดูนะ)

🍨มี่ฝึกทำ practice tests ทั้งหมด 6 tests ด้วยกันค่ะ แต่ว่าฝึกทำทั้งหมด 3 วัน (ก็คือวันละ 2 ชุด) ซึ่ง 2 วันแรกจะเป็นวันก่อนสอบก็คือรวมแล้ว 4 ชุดก่อนวันสอบจริง และอีก 2 ชุดในช่วงบ่ายและเย็นก่อนสอบ เพราะมี่สอบประมาณ 4 ทุ่มของวันที่สอบจริงนั่นเอง

🇺🇸 ตามคะแนนจาก practice tests ที่เห็นก็คือมันจะค่อนข้าง stable หรือคงที่พอสมควรค่ะ ของมี่คือ minimum scores หรือคะแนนขั้นต่ำจะอยู่ที่ 115 และคะแนนสูงสุดก็คือ 145 นั่นเอง ซึ่งคะแนนจาก practice tests ก็ถือว่า accurate ประมาณนึงเลยค่ะ ก็คือถ้าใครได้ range คะแนนตามที่ต้องการแล้ว และมั่นใจแล้วก็สามารถไปสอบจริงได้เลยนะ ^^ ซึ่งตัว practice tests เนี่ยจะใช้เวลาที่ 15 นาที (แต่ตอนมี่ลองทำจริงมันจะอยู่ที่ 20-25 นาทีนะ)

📖 อีกทริคนึงที่มี่ใช้เพื่อเข้าใจภาพรวมของข้อสอบ DET ก็คือไปซื้อสรุปข้อสอบ Duolingo English Test (DET) จากเพจ InterHub ซึ่งก็เป็นเพจดังที่รวมเรื่องการสอบเข้าอินเตอร์หรือเรียนต่อต่างประเทศหมดเลย ซึ่งมี่ซื้อมา 190 บาท (สำหรับมี่ว่ามันไม่แพงอะ ราคาเท่ากาแฟแก้วนึงแต่ได้ข้อมูลความรู้มาเกือบ 20 หน้า) แต่ข้อมูลแน่นมาก ๆ ทำให้เข้าใจภาพรวม (overall) ของข้อสอบตัวนี้ดีขึ้นมาก ๆ มี tips และ tricks เยอะ ๆ ดีมากเช่นกัน สรุปโดยตรงมาจากครูเจี๊ยบเลยนะ คือตัวเราเองเห็นครูเจี๊ยบมานานมาก (น่าจะจากการยิง ads ของเพจด้วยส่วนหนึ่ง) ส่วนตัวมองว่าครูเจี๊ยบเป็นครูที่สอนภาษาอังกฤษอย่าง IELTS ชื่อดังคนนึงเลย และจากการที่เคยฟัง live มา ครูเจี๊ยบจะไม่ใช่คนที่ขายของแบบ hard sell แต่พูดทั้งข้อดีและข้อเสียให้ผู้ฟังไปชั่งน้ำหนักและตัดสินใจกันเอาเอง ซึ่งสรุปของทาง InterHub ก็สมเหตุสมผลกับราคาและความรู้ที่ได้มาก ๆ ที่เราเข้าใจก็คือครูเจี๊ยบจะออกคอร์สติว DET มาภายในต้นปีหน้า (2022) ใครที่ซื้อสรุป DET ตอนนี้จะได้คูปองลดราคาคอร์สเรียนที่จะออกมาในต้นปีหน้า 10% หรือจะเป็นคอร์สไหนก็ได้ของครูเจี๊ยบอีกด้วย ใครสนใจก็ลองติดต่อไปสอบถามเพจเค้าเลยนะคะ 😆

(*อันนี้ไม่ได้ถูกจ้างมานะ พูดความจริง จ่ายเงินเองเต็มจำนวนเลยจ้า)

📝 ใครที่อยากได้รีวิวการสอบ Duolingo English Test (DET) แบบละเอียดยิบจัด ๆ เราแนะนำให้ไปอ่านบล็อคนี้ของ open durian เลย ตอนนั้นมี่อ่านแล้วรู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์และละเอียดยิบมาก

🍨 แอบสปอยล์มานิดนึงก็คือคะแนน overall ของมี่คือ 130 จาก 160 และคะแนนแต่ละพาร์ทไม่มีอันไหนต่ำกว่า 125 เลย (CEFR C1 หรือ advanced) บางคนที่ไม่เคยติดตามมี่มาก่อนก็อาจจะงงว่าพื้นฐานมี่เป็นยังไงบ้าง โอเค จะเล่าให้ฟัง (อย่าเข้าใจว่าขิงหรือ show off นะ เราแค่จะเล่าให้ฟังเฉย ๆ) แล้วให้ไปลอง evaluate ตัวเองกันดูน้าว่าพื้นฐานจริง ๆ ของท่านผู้อ่านเนี่ยอยู่ที่ประมาณไหน และคะแนนเท่าไหร่ที่สามารถ expect ได้บ้าง:

  • ย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 (ตอนมี่อยู่ม.5 ตอนปลาย ๆ ก่อนขึ้นม.6) มี่สอบ IELTS Academic ได้ overall 6.5, listening 6.5, reading 6.5, speaking 6.5 และ writing 5.5 ลิงก์บล็อคนี้เลย สำหรับใครที่สนใจจะอ่าน ตอนนี้คนอ่านอันนี้ 18k ละค่า ช่วยสานฝันหนูมี่ให้ถึง 20k ทีนะคะ 5555 ตาม Cambridge Preliminary (PET B1) ไปทีนะ ได้โปรดดดด 🙏

  • มี่เคยสอบ DET มาก่อน ซึ่งเป็น test version 2018 มี่ได้ overall 63/100 (เป็น scale เก่าก่อนทาง DET จะเปลี่ยนมาใช้ที่ 160 แทน) ซึ่งเทียบเท่ากับ scale ปัจจุบันคือ 115 คะแนนนั่นเอง แต่ตอนปี 2018 มันไม่ได้ดีขนาดนี้ มันไม่มี sub scores, ไม่มี video interview ด้วย ซึ่งมี่ก็ได้มี รีวิว DET ver. 2018 เขียนไว้ 😆ยอดมันเพิ่มเยอะ ๆ ตอนที่ทาง MUIC ประกาศรับคะแนน DET ขั้นต่ำ 100 คะแนน สำหรับ regular track และต้องสอบ writing essay ของม.เพิ่ม (มี่ผ่าน writing essay ของ MUIC มาแล้วและติด IC มา 2 รอบเช่นกัน เพราะรอบแรกสอบแบบใช้ GED ยื่นและรอบที่ 2 ใช้วุฒิม.6 แทน) น้อง ๆ คนไหนที่สนใจจะเข้า MUIC ก็สามารถไปอ่านบล็อคของมี่เรื่องการสมัครเข้าที่ MUIC ได้เช่นกัน 😃 (อะ มี่เข้ามาตอนรุ่น 628 นะ ข้อมูลบางอย่างอาจจะเก่าไปแล้ว แนะนำให้ติดต่อทาง MUIC หรือดูหน้าเว็บ MUIC โดยตรงจะดีกว่า)

  • ปัจจุบัน (2021) มี่ได้เรียนที่ MUIC หรือวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล มา 5 เทอมตามระบบ trimester พอดิบพอดี (ประมาณ 1 ปีครึ่ง) ซึ่งก็ได้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวันจริง ๆ ครบทั้ง 4 skills เลย ทั้งแบบ general และ academic English บวกกับมี่เป็นคนชอบใช้ภาษาอังกฤษอยู่แล้ว และการเรียนที่ MUIC ก็ทำให้มี่มีเพื่อนที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเช่นกัน ก็เลยเหมือนใช้ทุกวันนี้มี่ใช้ 3 ภาษาก็คือภาษาไทย, อังกฤษและฝรั่งเศส (แต่เทอมที่ผ่านมาก็เรียนภาษาฝรั่งเศสและเยอรมันที่ IC ด้วย และน้องสาวก็เรียน British school ด้วย เค้าเรียนทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้ว และเลือกภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ 3 เหมือนเรา บวกกับที่บ้านก็มีกฎว่าเราต้องคุยกับน้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่เราก็มีพูดฝรั่งเศสกับน้องบ้าง แบบว่าร้อนวิชา อยากสอนน้อง 555) ส่วนตัวมี่ถนัดการฟัง, อ่าน, พูด แต่เขียนก็ถือว่าดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะพอตัวเลย แต่ก็ยังเป็นพาร์ทที่ไม่ได้ถนัดขนาดนั้นอยู่ดี (ดูได้จากคะแนน IELTS แหละ ละก็ Cambridge PET ที่สอบตอนนั้นก็ได้ speaking เต็ม 160/160 เช่นกัน แต่มี่ไม่ได้เรียน international curriculum มาตั้งแต่เด็กเหมือนน้องนะ มี่เรียนโรงเรียนไทยและภาคไทยมาโดยตลอด แต่ว่ามี่เรียนศิลป์ภาษาฝรั่งเศสมา และได้ไป summer ที่ประเทศอังกฤษและนิวซีแลนด์มา (2017 กับ 2018) ด้วยความที่ชอบพูดและกล้าพูด ก็เลยได้พัฒนาภาษาไปค่อนข้างเร็ว ก่อนจบม.6 ภาษาอังกฤษอยู่ที่ระดับ B2 Upper-Intermediate มาอยู่แล้ว ก็จะประมาณนี้เลยงับ 😚

หน้าหลักของ DET ที่ผู้สอบจะสามารถซ้อมสอบและซื้อข้อสอบได้

🔗 สำหรับลิงก์ที่จะซ้อมสอบหรือสอบจริง ก็คือลิงก์นี้เลย DET Test สำหรับใครที่อยากซื้อข้อสอบ DET ไว้ก่อนเพราะจะสอบแน่ ๆ แต่ยังไม่มั่นใจ ขอซ้อมสอบไปก่อนก็สามารถกด "buy now" ได้เลย ตัวมี่เองก็กดซื้อไว้ก่อนประมาณ 2 วันเหมือนกัน (เรื่องของเรื่องก็คือกลัวตัวเองเปลี่ยนใจและไม่มี courage หรือ motivation ในการจะสอบจริงนั่นแหละ เลยมัดมือชกตัวเองไปก่อน 555) การซื้อก็คือปกติเหมือนซื้อของ online เลย จะใช้เป็นบัตรเดบิตหรือเครดิตก็ได้ (ส่วนตัวใช้บัตรเดบิต เพราะไม่มีบัตรเครดิต) พอจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย รอไม่นานจะมีหลักฐาน payment ส่งไปให้ที่ email ที่ registered account ไว้ แต่กับหน้าหลักตรงนี้ตามภาพมันก็จะขึ้นเป็น download หรือว่าสามารถสอบจริงได้เลย (take the test) ทันที

😄 สำหรับใครที่แค่อยากซื้อไว้ก่อนแบบเรา จะบอกว่า... ข้อสอบจะมีอายุ 21 วันหลังวันที่ซื้อนะ (reference: how long do I have to take the Duolingo English Test after I pay for it?

You have 21 days to take a test starting from your original purchase date.) ถ้าไม่สอบก่อนหน้า 21 วันนั้น (แบบว่าซื้อไว้ละลืมสอบอะไรงี้) ก็คือจะเสียเงินฟรี 49 USD หรือประมาณ​ 1,650 บาทไปเลยนะ 555

❓ สำหรับใครที่มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย ทาง DET แยก topics ไว้ให้ดีมาก ๆ สามารถคลิกไปอ่านกันได้เลยนะ DET FAQ คือบางคำถามที่เราเคยมี เราว่ามันก็แอบ rare แต่ว่าหน้าเว็บตรงนี้ก็มีตอบไว้ให้แล้วเหมือนกัน แต่ถ้าใครยังมีคำถามอีก สามารถติดต่อ chatting หรือ support ของ DET ไปได้เลยที่ลิงก์สีน้ำเงินและมีขีดเส้นใต้ตรง chatting จะเป็นลิงก์ที่เราแปะไว้ให้แล้วนะ

🤔 สำหรับใครที่อยากรู้ว่า scores ต่าง ๆ เป็นยังไง, คะแนน DET เท่านี้เทียบเท่า IELTS/TOEFL iBT หรือระดับ CEFR เท่าไหร่ รวมถึง sample certificate ของทาง DET จะเป็นยังไง ไปตรงที่สีน้ำเงินที่แปะไว้ให้เลยได้เช่นกัน อ้อ... คะแนนเต็มของ DET คือ 160 คะแนนนะคะ 😄

 

🇺🇸 รีวิวการสอบ Duolingo English Test (DET) ปี 2021 by Mie Dyasha 🍨

เมื่อซื้อข้อสอบสำเร็จแล้วก็จะขึ้นมาเป็นหน้านี้ โดยที่จะสามารถเริ่มสอบได้เลยหลังจ่ายเงินเรียบร้อยค่ะ 🇺🇸

แต่ว่าอย่างที่บอกไปด้านบนคือมี่ซื้อไว้ก่อนสอบจริงประมาณ 2-3 วัน ถ้าใครซื้อแล้วสะดวกทำเลยก็กด "home" กลับไปก่อน แล้วจะมีปุ่มสีส้มสำหรับ "take the test" (60 minutes) ได้เลย โดยสามารถดาวน์โหลดแอพเพื่อทำการสอบได้เลยนะคะ โดยตอนที่สอบจริงจะต้องสอบผ่าน application ของ DET เท่านั้น จะไม่สามารถสอบบน browser ได้ค่ะ

คำแนะนำก่อนลงมือสอบ DET (อ้างอิงจาก top tips ของ DET และ 4 tips for making sure your DET results are certified นะคะ):

  • แนะนำให้ดูคลิป 3 นาทีซึ่งจะเป็นการสรุปสั้น ๆ ก่อนสอบจริง (video link): โดยภาพรวมแล้วก็จะเกี่ยวกับการ setup คอมพิวเตอร์ก่อนสอบจริงค่ะ ซึ่งในแอพจะมี tutorial มาให้อยู่แล้ว ก็คือการบอกเรื่อง test requirements หรือสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนสอบจริง (เรื่องเอกสารยืนยันตัวตน, ความพร้อมของสภาพแวดล้อมและก็คอมพิวเตอร์) และข้อห้ามต่าง ๆ ก็คือ

- "ห้ามใส่หูฟังหรือ headphones โดยเด็ดขาด": เป็นกฎที่ต้องเห็นหูอย่างชัดเจนตอนสอบเลย เพราะเค้ากลัวว่าจะมีบางคนแอบใส่หูฟังไว้และ communicate กับ test substitute

- จากนั้นก็จะเป็นการทดสอบลำโพงของคอมฯ​ ว่าเราได้ยินชัดเจนมั้ย: ตรงนี้แนะนำให้เปิดแบบเสียงดังที่สุดไปเลย จะได้ไม่ต้องห่วงว่าได้ยินชัดเจนมั้ย เบาไปมั้ย อะไรงี้ แต่ถ้าใครรู้ระดับที่ไม่ดังเกินไป ไม่เบาเกินไปและตัวเองได้ยินชัดเจน ถนัดแบบไหนก็ทำแบบนั้นเลยจ้า

- ต่อมาก็จะเป็นการลอง record หรืออัดเสียงตัวเองโดยพูด 1-3 ต่อด้วยกด stop recording: พอกด next ก็จะได้ยินเสียงของตัวเองที่อัดไว้ก่อนหน้านี้ (ถ้าได้ยินชัดเจนก็กด yes แต่ถ้าไม่ก็กด no แต่ตอนที่เราสอบจริงก็ปกตินะ ไม่มีปัญหาอะไรเลย)

- ขั้นตอนถัดมาก็จะเป็นการถ่ายรูปหน้าตัวเอง: โดยอันนี้ก็คือแนะนำให้แสงพอดี เห็นหน้าชัดเจน และไม่ไกลเกินไป (มันจะมีกรอบกำหนดให้อยู่ว่าหน้าต้องอยู่ประมาณไหน) พอกดถ่ายรูปปุ๊บ 3 วินาทีก็จะถ่ายไว้ให้เราเลย ถ้าไม่โอเคก็กด retake รูปได้เช่นกันนะ

- ถ่ายรูปหน้า information ของ ID (บัตรประชาชน)/ ใบขับขี่หรือพาสปอร์ต (อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น): ตอนที่มี่สอบ มี่เลือกใช้พาสปอร์ต เพราะเพิ่งทำมาไม่นาน และบัตรประชาชนก็ค่อนข้างจางแล้วด้วย อันนี้ถ่ายให้ชัดเจนเลยนะ เพียงแต่พอกดถ่ายปุ๊ป ภาพที่ออกมามันจะชอบกินฝั่งซ้ายหน่อย ๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม

- กรอกข้อมูลส่วนตัวที่ตรงกับหน้า ID ของเรา: ก็คือกรอกข้อมูลแบบปกติเลย มี given name, surname ละก็ date of birth ใครมีชื่อกลางให้เอาชื่อกลางใส่กับ given name แต่ถ้าใครไม่มีก็ไม่ต้องเอาชื่อเล่นไปใส่เป็นชื่อกลางนะ เตือนว่าข้อมูลทุกอย่างต้องตรงกับ ID ที่ถ่ายรูปไปก่อนหน้าด้วย

- ข้อมูล demographic: มี่คิดว่าส่วนนี้น่าจะเก็บไว้ทำวิจัย แต่ข้อมูลตรงนี้จะไม่มีการส่งไปกับ certificate นะ จะไม่เหมือน IELTS ที่จะมีเขียนว่า first language ของเราคืออะไร โดยจะต้องกรอกภาษาแรกที่เราพูด (first language) กับเพศ (gender) ของเราเอง

คำเตือนก่อนสอบ ถ้าเผลอทำอย่างใดอย่างหนึ่งจะทำให้การสอบเป็นโมฆะไปเลยทันที

- คำเตือนที่ต้องระวังและมีสติมาก ๆ ในการทำข้อสอบ: เพราะว่าถ้าเผลอทำอะไรที่มันแสดงให้เห็นว่าไม่ซื่อสัตย์ การสอบรอบนั้นจะเป็นโมฆะไปเลย (the test will not be certified) ถ้าใครทุจริตแล้วจับได้ก็คือจะโดนแบนข้อสอบถาวร แต่ถ้า AI แอบสงสัย (แต่จริง ๆ ผู้สอบไม่ได้ทำ) ก็จะได้ coupon ฟรีสำหรับสอบใหม่ 1 ครั้ง ก็คือ "ห้ามออกจากกล้องเด็ดขาด ตัวต้องอยู่หน้าคอมตลอด", "ห้ามมองออกนอกหน้าจอโดยเด็ดขาด" และ "ต้องให้เห็นหูชัดเจนและห้ามมีอะไรมาบังหู" โดยตัวผู้สอบจะเห็นตัวเองจาก camera preview ทางขวามือ, ห้ามออกจาก test ก็คือ full screen mode หรือห้ามให้ cursor leaves the window, ห้ามพูดกับคนอื่นโดยเด็ดขาด (ยกเว้นว่าเป็น part speaking) ถ้ามีการพูดกับอีกคนนึงหรือมีคนเดินเข้ามาในห้อง ก็คือไม่ได้ผลสอบ, ไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ (other device) และไม่สามารถจดหรืออ่านโน้ตต่าง ๆ ได้เช่นกัน, กล้องและไมโครโฟนต้องสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา, และสุดท้าย... กดเช็ค test agreement ต่าง ๆ ด้วย โดยจะมีทั้งหมด 6 อัน

- พอจบจากที่เขียนไว้ด้านบนก็คือจะสามารถเริ่มต้นการทดสอบได้เลย 😚

  • ให้ลองฝึกทำ practice tests ดูก่อนการสอบจริง: โดยหลังจากการทำ practice tests เสร็จก็จะได้ estimated scores หรือการประเมินคะแนนโดยประมาณมา แต่ว่าคะแนนของ sample tests จะไม่ใช่คะแนนที่เป็นทางการ และจะ less accurate หรือมีความแม่นยำน้อยกว่าข้อสอบจริงค่ะ

  • เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสภาพแวดล้อมเพื่อการสอบ: ต้องมี ID card (หรือใบขับขี่กับพาสปอร์ต). ห้องที่สว่างและเงียบ, 1 ชั่วโมงที่ไม่มีอะไรมารบกวนเลย, คอมพิวเตอร์หรือ laptop ที่มีกล้องหน้าและไมโครโฟนที่ติดตั้งไว้แล้ว และที่สำคัญที่สุดก็คืออินเตอร์เน็ต (มี่ไม่ได้เจอมากับตัวเองน้า แต่เห็นมีคนบอกว่าถ้าเห็นตุยเย่ตอนสอบก็คือไม่ได้สอบต่อนะ ถ้าเน็ตบ้านไม่เถสียรมากก็ลองใช้ hotspot ดูค่า)

  • ตอนเตรียมตัวเพื่อนำเสนอตัวเองสำหรับ video interview (showcase yourself): หลังจากสอบเสร็จก็จะเป็นช่วงที่ต้องทำ video & writing sample โดย 2 อย่างนี้จะถูกแชร์ไปให้กับทางมหาวิทยาลัยปลายทางที่เลือกส่งผลสอบไปนั่นเอง ทำให้ทาง admissions สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับเราได้มากขึ้นด้วย และก็เป็นโอกาสของเราที่จะได้แสดงทักษะภาษาอังกฤษให้ทางมหาวิทยาลัยปลายทางได้ดู ซึ่งจะมีตัวเลือก 2 ตัวเลือก (topics) ที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะพูดเกี่ยวกับหัวข้อไหน (ประมาณ 1-3 นาที) และการเขียนที่จะสามารถเขียนได้สูงสุด 5 นาที (เท่าที่ทราบคือ minimum 50 words and maximum 500 words) โดยที่เรื่องเวลาเนี่ย ทางตัวข้อสอบจะมีนาฬิกาจับเวลาไว้ให้อยู่แล้ว โดยเราเองจะสามารถ review สิ่งที่เราตอบไว้ก่อนจะส่งไปให้มหาวิทยาลัยได้ด้วยนะ

  • ให้ focus ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาตอนสอบ (stay focused on your screen): เพื่อ make sure ว่าผู้สอบไม่ได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่นหรือ outside resource ระหว่างทำข้อสอบ มันปกติและไม่เป็นไรเลยถ้าจะมองแป้นพิมพ์ระหว่างการพิมพ์คำตอบในข้อสอบ (แต่อ่านจากเว็บบอร์ดต่างชาติมาเค้าบอกว่าไม่ควรเกิน 3-5 วินาทีต่อครั้ง) หรือจะแอบเหลือกตาไปนิดนึงเวลาที่นึกคำศัพท์หรือสิ่งที่จะพูด/เขียน

  • ก่อนสอบจริง แนะนำให้ปิดคอมพิวเตอร์ไปเลย หรือจะ restart คอมก็ได้เช่นกัน โดยที่ไม่ควรมีแอพหรือ browser อะไรที่เปิดค้างไว้เลยนะคะ (close all programmes on your computer): แบบว่าพอคอมติดปุ๊บก็กดเข้า Duolingo ไปเลยนะ (ไม่ควรมีแอพอะไรที่แบบ running in the background เลย ระวังตรงนี้กันด้วยน้า) มี่เลยใช้วิธีการ restart คอมละเข้า Duolingo เลยแทนค่า ซึ่งมันก็ชัวร์ดีนะว่าเราไม่ได้เปิดแอพพวกนี้ไว้แน่นอน ส่วนเรื่องปัจจัยภายนอกของคอมพิวเตอร์ เช่น การชาร์จแบต แนะนำให้ชาร์จมาให้เต็มก่อนสอบหรือถ้าแบตไม่พอจริง ๆ ก็ให้เสียบสายชาร์จไว้ก่อนเลยแล้วค่อยสอบ

  • ทำให้แน่ใจว่าสภาพแวดล้อมนั้นมีความเป็นส่วนตัว (make sure your test environment is private): ห้ามมีคนอื่นอยู่ในห้องเลยเพราะว่าคนอื่นไม่สามารถช่วยเราได้ และไม่ควรมีใครจริง ๆ ถึงแม้เค้าจะไม่ได้ช่วยเราสอบก็ตาม (แบบทำอย่างอื่นในห้อง อะไรงั้น) ให้บอกทุกคนที่ใกล้ตัวเราว่าเราอย่ารบกวนหรือห้ามเข้ามาตรงนี้ ๆ นะเพราะเราสอบอยู่ ส่วนโทรศัพท์, smart watch, ไอแพดหรืออุปกรณ์ electronic ต่าง ๆ ให้ปิด notifications และเอาไปวางไว้ให้ไกล ๆ จากตัวเองเลย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องห่วงว่าจะโดนจับในฐานะ cheating หรือว่าได้รับ notifications ที่ทำลายสมาธิเราตอนสอบด้วย

  • ให้พูดและเขียนออกมาอย่างธรรมชาติ (speak and write naturally): ก็เหมือนข้อสอบวัดระดับทักษะทางภาษาทั่ว ๆ ไปที่จะวัดทักษะของเราที่แท้จริง ให้ตอบไปอย่างปกติ ธรรมชาติ ดูไม่ฝืน และเป็นคำตอบของตัวเราเองจริง ๆ (in your own words)

ช่วงที่ก่อนลงมือทำข้อสอบจริงที่เป็น adaptive test เนี่ย จะมีกฎหรือคำแนะนำเหล่านี้ขึ้นมาอีกทีก่อนที่จะลงมือทำข้อสอบจริงเหมือนกันค่ะ แต่ว่ามี่อยากมาเขียนบอกท่านผู้อ่านไว้ก่อนเฉย ๆ ค่าาา 😊

 

🇺🇸 มาต่อกันที่การเข้าแอพ DET เพื่อทำข้อสอบหรือ take the test กันเลยดีกว่า...

หน้าแรกที่จะขึ้นมาหลักเปิดแอพ Duolingo English Test

ตรงนี้ก็คือจะใช้ account เดียวกันกับที่เราเปิดใน browser เลยนะคะ ถ้าใครสะดวกจะ sign-in with google ก็คลิกเข้าไปได้เลย โดยตัวแอพจะพาไปที่ browser ก่อน แล้วค่อยให้ปิดและมาเข้าใช้งานต่อในแอพค่ะ

ตอนที่จะสอบให้ไปเลือก start test ตรง take the test ได้เลยค่า

ก่อนเริ่มทำข้อสอบก็จะมีการเริ่มตรวจเช็คหรือ setup ต่าง ๆ ก่อนที่จะเริ่มสอบจริงและการยืนยันตัวเองด้วย official document ต่าง ๆ ตามที่มี่บอกได้ด้านบนตรง tips เลยค่า

 

😎 คำแนะนำสำหรับท่านผู้อ่านก่อนลงมือสอบจริง (ฉบับมี่นะ):

  • ก่อนลงมือสอบจริง ให้ boost confidence ตัวเองเยอะ ๆ ก่อนโดยเฉพาะด้านการพูด: มี่ไม่เคยสอบ TOEFL iBT มาก่อน เลยรู้สึกว่าการพูดกับคอมมันแปลกมากกกกก 😅 มันไม่เหมือนการพูดกับ examiner ตอนสอบ IELTS เลย ลองพูดกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะสอบจริงก็ช่วยได้เยอะ เพราะมันทำให้มี natural flows มากขึ้น เป็นหัวข้ออะไรก็ได้ ขอให้มีความมั่นใจในการพูดและก็สามารถคิดต่อแล้วไปต่อได้เรื่อย ๆ แบบไม่สะดุด 👍

  • ให้วันที่สอบเป็นวันที่นอนพอ และลิ้นไม่พันกันเวลาพูดภาษาอังกฤษ: จริง ๆ การนอนให้พอแบบ 6 ชั่วโมงขึ้นไปนี่สำคัญมาก เพราะถ้านอนน้อยบางทีสติหลุดก็มีนะ ละมันค่อนข้างมี direct effect กับการ communicate ด้วย เหมือนมันจะ lost in conversation ไปเลย แบบว่าได้ยินว่าพูดอะไรแต่ใจลอยแล้วตอบไม่ได้ ส่วนลิ้นพันกันนี่ต้องรู้จักวิธีการลด speed ตัวเองการพูดลงก่อน เพราะบางทีเราอาจจะ fluent ในภาษาอังกฤษก็จริง แต่บางคนชอบตื่นเต้นและพูดเร็ว พอมันเร็วเกินไป การ enunciate คำมันก็จะไม่ทัน (สมอง generate คำไปเร็วกว่าปากอะ เข้าใจมั้ย 555) ซึ่งอันนี้มันปกติมาก เพราะตอนมี่เรียน public speaking อาจารย์ที่สอนเป็น American แท้ ๆ เค้าก็ชอบเผลอพูดเร็วเกินไปแล้วลิ้นพันกันเช่นกัน เค้ารู้ตัว และเค้าเลยบอกนักเรียนในคลาสว่าถ้าฟังไม่ทัน ให้เตือนเค้าลด speed ลงด้วย ซึ่งมันก็แก้ได้ด้วยการรู้ตัวและพูดให้มันช้าลงนั่นแหละ (แต่ก็แก้ยากนิดนึงเหมือนกัน ต้องใช้เวลานิดหน่อย nobody's perfect) 😎

  • เลือกสอบตอนที่บ้านสงบและเงียบ ๆ แบบไม่มีใครมากวนใจหรือทำให้เสียสมาธิ: อันนี้ก็สำคัญมาก เราต้อง concentrate กับการสอบข้างหน้าให้ดี ห้ามมีคนมาเคาะประตู เข้ามาหยิบของในห้อง มัน distracting มาก ละเบนความสนใจเราจากการสอบเป็น action ของคนอื่นแทน ก่อนสอบมี่สอบในห้องนอนตัวเองเลยละก็ล็อคห้องหมด (บางคนถ้ากังวลมากก็จะแปะ post-it ไว้หน้าห้องเลย) ซึ่งปกติช่วง 21.00 ก็คือสมาชิกแต่ละคนในบ้านจะเข้าห้องนอนตัวเองกันหมดแล้ว หรือทำสิ่งต่าง ๆ ที่มันไม่ได้ไปรบกวนคนอื่น แต่มี่ก็ยังไลน์บอกที่บ้านก่อนว่าจะสอบนะ อย่ากวน อย่าเคาะประตู อย่าโทรมา พอสอบเสร็จแล้วจะไลน์บอกอีกทีนะ ตอนนั้นมี่เริ่มสอบช่วงเกือบ 4 ทุ่ม ที่เลือกช่วงนี้ก็เพราะส่วนนึงคือมันเงียบ สงบ และเราก็เป็นพวก night owl 🦉และช่วงประมาณนี้คือเวลาที่ภาษาเราจะดีดอีกครั้งหลังช่วง daytime ☀️

  • ดื่มน้ำไปสักแก้วก่อนสอบ (stay hydrated!): เราเป็นคนที่เสียงจะชอบแหบเวลาที่ไม่ได้พูดสักพัก, พูดตอนเช้าเกินไป หรือพูดนานเกินไป เราเลยต้องดื่มน้ำไปก่อนเสียงจม (อาการนี้เราตั้งชื่อมาเอง เพราะเราเป็นบ่อยมากช่วงที่ใช้เสียงตอนเช้าเกินไป โดยเฉพาะตอนเรียน EC 3 นี่แหละ มันเป็นปัญหาจนเราต้องถามอาจารย์ที่สอน เค้าก็เลยให้เราวอร์มเสียงก่อนพูดหรือ present ซึ่งถ้ามันยังจมอยู่ก็คือเราขิต มันมีเหมือนกันตอนนั้นที่เรียน EC 3 ละวอร์มเสียงละเสียงยังจม ก็คือวันนั้นไม่มีความมั่นใจไปเลย พูด present เสร็จคือนั่งผิดหวังอะ เพราะคะแนนอันนั้นมันคือเยอะที่สุดใน course evaluation 😭) ซึ่งอันนี้ช่วยเราไปได้มากคือคอเราจะไม่แห้งและเสียงจะไม่จมด้วย ใครเป็นคนคอแห้งให้ดื่มน้ำไปก่อน (ที่พอประมาณ) แล้วถ้าอยากเข้าห้องน้ำก็ไปเข้า เตรียมตัวให้พร้อม ๆ เอาที่สบายใจและสะดวกเพราะมันสอบที่บ้าน 😚

  • จัดการตัวเองให้เรียบร้อยและสบายตัวที่สุด ไม่รู้สึกอึดอัดหรือกังวลกับปัจจัยภายนอก: แนะนำให้ไปอาบน้ำก่อนก็ได้ มันจะได้ fresh หน่อย หรือถ้าสอบช่วงกลางวันจะล้างหน้าให้ตื่น ๆ หน่อยก็ได้ ใครจัดฟันก็ไปแปรงฟัน/บ้วนปากก่อน จะได้ไม่หงุดหงิดกับพวกเศษอาหารที่ติด braces ใครติดกาแฟจะไปโซ้ยกาแฟสักแก้วก็ได้เหมือนกัน ใครขี้ร้อนก็เปิดแอร์หรือพัดลมจ่อไปเลย คือทำยังไงก็ได้ให้อยู่ใน position ที่เราสบายตัว สดชื่น และก็พร้อมสอบ/กังวลน้อยที่สุด (เพราะข้อสอบก็น่าให้กังวลพอแล้ว อิอิ) ให้โฟกัสข้อสอบได้มากกว่าปัจจัยภายนอกและความรู้สึก control อะไรได้ก็ทำไปเลย กันไว้ดีกว่าแก้น้าาาา 😄

  • อย่า underestimate ตัวเอง ให้กำลังใจตัวเองและ believe in yourself: ความคิดมีผลต่อความรู้สึกของตัวเองมาก ถ้าอยากทำให้มันได้ดีก็ต้องชาร์จพลังบวกให้ตัวเองหน่อย อย่าเอา negative thoughts มาใส่ตัวเองก่อนที่จะสอบจริง (มันจะเครียดเปล่า ๆ) ให้บอกตัวเองว่า "เราทำได้ และจะทำมันได้ดีด้วย" ถ้าเริ่มจากการที่เชื่อมั่นในตัวเอง เราก็จะทำมันออกมาได้ดีกว่า ไม่ต้องไปนั่ง paranoid กับตัวเองด้วย มี่เป็นกำลังใจให้ผู้อ่านทุกท่านพิชิตคะแนนที่อยากได้นะคะ 🙏 ส่วนผลจะออกมาเป็นยังไงก็ขอให้คุ้มค่าความพยายามและความสามารถของคุณค่ะ 🤗

  • เช็คอินเตอร์เน็ตดี ๆ เน็ตตุยเย่ไม่ได้นะ!: เน็ตสำคัญมาก ตัดสินชีวิตได้เช่นกันว่าจะได้สอบใหม่อีกรอบมั้ย (มี่ไม่ได้เจอกับตัวเองนะอันนี้) แต่ได้ยินมาว่าถ้าเน็ตหลุดก็คือจบเลย ไม่ได้สอบต่อ เหมือนระบบมันจะตัดไม่ให้สอบต่อเองเลย แต่ทาง duolingo จะส่ง code มาให้สอบใหม่​ (ฟรี) เพราะว่าถือเป็น technical problems นั่นเอง ถ้าใครเน็ตบ้านดีก็เชื่อมคอมกับเน็ตบ้านไป แต่ถ้าใครเน็ตบ้านเชื่อถือไม่ได้ ตัว hotspot จากโทรศัพท์จะดีกว่าจ้า 💻

นี่ก็น่าจะเป็น tips & tricks ทั้งหมดที่มี่สามารถให้ได้แล้ว ถ้าใครมีคำแนะนำอะไรเพิ่มก็มาบอกกันได้ที่เพจ Mie as a media com student – ชีวิตมี่เมื่อเรียนมีเดียคอมเลยน้า ❤️

 

⌨️ สิ่งที่เจอตอนสอบจริง...

หน้าจอตอนกำลังอัพโหลดข้อสอบกลับไปเพื่อตรวจ (ลุ้นมากว่าเน็ตจะสู่ขิตมั้ย) 😵

✨ รูปนี้เป็นรูปเดียวที่มีตอนสอบเสร็จเลย เพราะว่ากลัวเน็ตหลุดตอนอัพโหลดข้อสอบมาก 😭 เลยถ่ายเก็บไว้ก่อนเผื่อมันเน็ตหลุด ถ้ามันหลุดจริง ๆ จะได้เอาส่งไปบอกทาง support ของ DET ได้

 

🙂 ตอนสอบจริงก็คืออย่างที่บอกว่า DET เป็น adaptive test นะคะ ระดับความยากง่ายจะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาระดับที่เรา stable แล้ว เพราะฉะนั้นความยากง่ายของสิ่งที่แต่ละคนได้ก็จะไม่เหมือนกันค่ะ

♦︎ อันนี้คือ scope คร่าว ๆ ของสิ่งที่เราจำได้ตอนสอบจริงนะคะ ถ้าลองฝึกทำข้อสอบมา (sample tests) รูปแบบมันคือแบบเดียวกันเลย เพียงแต่จะยาวมากกว่า ยากกว่า และความแม่นยำสูงกว่า คือคนละเรื่องกันเลยแหละ 😆

- part reading 📖: จะมีให้อ่านเป็น passages ต่าง ๆ ที่ไม่ได้ยาวมาก เป็น short passages และให้เติมคำลงไปด้วย ซึ่งอันนี้เหมือนวัด literacy เราว่าเราอ่านและเข้าใจภาษาอังกฤษมากน้อยขนาดไหน, เข้าใจ overall ของ passage และมีคลังศัพท์สำหรับเติมลงไปใน context นี้มั้ย

  • C-test (เติมคำที่หายไป): ปกติจะมีตัวอักษรตัวแรกมาให้และต้องเติมที่เหลือเองลงไป โดยที่ก็จะมีการกำหนด characters ตัวอักษรมาแล้ว สมมุติว่าเป็น 8 ตัว ขึ้นด้วย T ก็ต้องเติมให้ถูกและพอดี มีตั้งแต่ระดับง่าย เช่น บัตรเชิญไปงานปาร์ตี้ อีเมลคุยกับเพื่อน หรือระดับกลางก็จะเป็นพวก intermediate ที่บอกเล่าเรื่องต่าง ๆ อาจจะเป็นคล้าย ๆ daily news ที่ระดับกลาง ไม่ได้ยากมาก แต่ถ้าเราตอบถูกเยอะขึ้นก็คือจะได้ระดับยากเลย อย่างตอนนั้นเราได้เรื่องพรรคการเมืองของอเมริกา ศัพท์ทาง international relations หรือแนว political จะเยอะมาก เช่น constitute มี่พอรู้บ้างแต่ไม่ได้เซียนขนาดนั้น ส่วนเจอศัพท์สาย health science หรือทาง biology นี่คือตายไปเลย 5555 ตอนนั้นหัวข้อเป็นเรื่อง proteins, enzymes อะไรงี้ ก็คือนั่งนึกแล้วนึกอีกก็ยังนึกไม่ออกเพราะไม่ได้มีความรู้สาย science เลยค่า ก็คือถ้าระดับยากมันก็จะมาที่เน้น specialised ไปด้านต่าง ๆ ที่มีศัพท์เฉพาะทางมากขึ้น อย่างพวก social science, science แบบนี้นั่นเอง (ส่วนตัวไม่แน่ใจว่ามีพวกสาย media, journalism, arts ที่เจาะจงนอกจาก arts แบบวาดรูป มั้ย เพราะตอน practice มีเจอพวก biography คนสำคัญ, technology, linguistics, philosophy เหมือนกัน)

  • Yes-no answers: ก็คือจะให้เลือกคำศัพท์ที่เป็นภาษาอังกฤษจริง ๆ มันมีทั้งคำจริงและคำหลอก บางคำหน้าตาเหมือนภาษาอังกฤษ แต่มันเป็น made up words หรือคำที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบมั่ว ๆ ก็มีเหมือนกัน ให้เชื่อมั่นในสัญชาติตัวเอง คำตอบที่คำถูก/ผิดเยอะเท่าไหร่มันไม่มี อยู่ที่ AI สุ่มให้จ้า

✅ คำแนะนำ: การสะกดคำสำหรับ DET ใช้ American English เท่านั้นนะ ตัวมี่ถนัด British English แต่รู้หลักการเขียนแบบ American ถ้าใครไม่ค่อยชิน ให้ลองฝึกดูความต่างของการสะกด 2 ตัวนี้ให้ดี ๆ นะคะ 🇺🇸


- part listening 🎧: ก็คือการฟังทั่วไป มีทั้งฟังศัพท์ ฟังประโยคและพิมพ์ออกมา เป็นการวัดทักษะการฟังของตัวผู้สอบเอง ทำนองนี้แหละจ้า

  • Imitation: พาร์ทนี้จะให้ประโยคมา 1-2 ประโยคเพื่ออ่านออกเสียงให้ถูกต้อง ดูเวลาดี ๆ เพราะนาฬิกาจะนับถอยหลังทันทีที่ประโยคนี้เด้งขึ้นมา

  • Yes-no answers: การฟังคำศัพท์ต่าง ๆ และแยกว่าอันไหนคำจริงหรือคำหลอก บางคำอาจจะเสียงเหมือนภาษาอังกฤษแต่มันไม่มีอยู่จริงในภาษาอังกฤษก็ได้ อันนี้เหมือน yes-no ของพาร์ทอ่านเลยจ้า

  • Dictation: เป็นการพิมพ์ภาษาอังกฤษตามที่เราได้ยิน โดยจะเป็นประโยคสั้นหรือยาวก็ได้ ซึ่งจะสามารถฟังได้ 3 รอบ จริง ๆ ฟัง 1-2 รอบก็น่าจะฟังทันหมดแล้ว ส่วนรอบที่ 3 เก็บไว้ทวนอีกทีก็ได้เหมือนกัน อันนี้ต้องอาศัยฟังไปด้วยแล้วพิมพ์เร็วหน่อยจะได้ฟังและพิมพ์ทัน อย่าลืม full stop นาจาาาาา

ไม่น่ามีอะไรต้องเป็นห่วงเท่าไหร่นะพาร์ทนี้ แค่ให้ชินกับการออกเสียงแบบ American ก็พอแล้ว 😄


- part writing 📝: ด้วยความที่พาร์ทนี้การเขียนมันไม่ใช่ long essay แบบ IELTS กับ TOEFL iBT ทำให้บางมหาวิทยาลัยจะเรียกหรือขอให้ผู้สอบไปสอบ writing essay เพิ่ม (MUIC ก็เช่นกัน)

  • Photo description: จะเป็นภาพขึ้นมาให้เราบรรยายสิ่งที่เห็นในภาพ เห็นอะไรก็อธิบายไปแบบนั้น จะจินตนาการอะไรนิดหน่อยได้ แต่ให้มันอยู่ในสิ่งที่เราเห็นอะ ตอนนั้นของเราเห็นเป็นเด็กกำลังเล่นอยู่กลางหิมะ จำได้แค่อันเดียวงะ 555555

  • Short writing: มันจะเป็นคำถามมาถามประโยคนึง แล้วให้เราพิมพ์ตอบไปขั้นต่ำ 50 คำ แต่ maximum 500 คำ ตอนนั้นมี่พิมพ์ไปประมาณ 220 words (นิ้วไฟมาก 🔥) ซึ่งจะต้องตอบภายใน 5 นาที คิดอะไรได้ อยากโชว์คลังศัพท์ตั่ง ๆ ก็จัดไป อย่าให้เสียยย

พาร์ทนี้คือเน้นแข่งกับเวลากับความเร็วของการพิมพ์ นอกจากต้องคิดให้ได้แล้วก็ยังต้องพิมพ์ให้ทันในเวลาที่จำกัดด้วยนั่นเอง นึกอะไรออก เห็นอะไร อยากพูดถึงอะไรก็เขียนไปได้เลย เพราะเวลามันน้อยมาก 😌


- part speaking 🗣: การพูดก็จะมีทั้งแบบง่ายและแบบที่ขั้นสูงมาหน่อยที่ต้องฝึกก็คือการคิดให้ทัน และการพูดให้ทันและฟังแล้วเข้าใจ ไม่ gibberish ถ้าไม่มั่นใจด้าน speaking ก็แนะนำให้ลองฝึกพูดให้ชินก่อน จะดีกว่าตัวผู้สอบเองมากกว่าจ้า ให้ speak naturally หรือพูดอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องไปหาจำคำตอบมาพูดน้า

  • Photo description: เป็นภาพขึ้นมาแล้วให้พูดอธิบายสิ่งที่เราเห็นในภาพ โดยที่จะมีเวลา 20 วินาทีสำหรับคิดว่าเราจะพูดอะไร และต้องตอบขั้นต่ำ 30 วินาทีหรือสูงสุด 90 วินาที

  • Cue card: อันนี้คล้าย ๆ ของ IELTS task 2 เลย ที่เราจะได้ cue card มา 1 ใบ และต้องเตรียมตัวพูดเกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ แต่มีเวลาแค่ 20 วิในการคิดและต้องตอบขั้นต่ำ 30 วิ สูงสุด 90 วิ ซึ่งเค้าจะกำหนดว่าเราต้องพูดอะไรบ้าง เช่น what is it?, what..., how long have you.... อะไรแบบนี้ แต่ข้อเสียคือเราไม่สามารถเขียนแพลนไว้แบบ IELTS ได้ ถึงมีกระดาษปากกาข้างตัวก็ห้าม take note นะ มองหน้าจอได้อย่างเดียวจ้า ของมี่ตอนนั้นได้หัวข้อเรื่อง "คิดว่าชีวิตเป็นอย่างไรเมื่อ 100 ปีก่อน" มี่ว่าตัวเองไม่ช็อตนะ ไหลไปได้อยู่

จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยสอบ Cambridge Preliminary และ IELTS มา รู้สึกว่าตัว DET speaking มีความเป็นลูกผสมระหว่าง IELTS กับ Cambridge speaking เลย Cambridge จะมีภาพมาให้ดูและอธิบายสิ่งที่เห็น ส่วน IELTS ก็มี cue card 😃


🍨 สำหรับตรงนี้ก็จะเป็นการรีวิวคร่าว ๆ ว่าแต่ละพาร์ทและสิ่งที่จะเจอจะเป็นอะไรบ้าง ถือว่าเป็น guide ให้แล้วกันนะคะ คิดว่าผู้อ่านคง picture ออกได้บ้างแล้วว่าการสอบเป็นยังไง มี่ขอโทษที่ไม่ได้จำสิ่งที่สอบไปได้ทั้งหมด เพราะว่าตอนที่มารีวิวนี่ก็คือสอบไปได้ 3 อาทิตย์แล้ว และไม่ได้เขียนหรือจดโน้ตไว้เลย เพราะช่วงนั้นค่อนข้างวุ่นวายกับไฟนอลมาก ๆ (โปรเจคและสอบถล่มถลายมาก) ใครอยากได้ tips & tricks ดี ๆ เพื่อทำความรู้จักกับข้อสอบก็ไปลองฝึกทำ sample tests ได้เลยนะคะ ฟรีแล้วสามารถทำความคุ้นเคยกับข้อสอบได้ด้วยค่า 😉

 

🏫 มาถึงกันที่พาร์ทสุดท้ายก็คือ showcase...

showcase จะเป็นส่วนที่ไม่ถูกคิดคะแนนแต่ว่าสิ่งที่เราตอบทั้ง speaking and writing จะถูกส่งไปที่มหาลัยปลายทางที่เราต้องการสมัคร โดยจะเน้นที่ active skills มากกว่า reading and listening เพราะฉะนั้นให้ทำที่เราไหว และเป็นตัวของตัวเองไปเลย นี่คือโอกาสที่ทางมหาลัยจะได้รู้จักตัวผู้สอบมากขึ้นด้วยนะ 🙏 ทั้ง 2 พาร์ทจะมีหัวข้อมาให้เลือก 2 topics และเราเลือกตอบอันเดียวนะ ให้เลือกหัวข้อที่ถนัดกว่าและคิดว่าตัวเองตอบได้หรือรู้ว่าตัวเองจะพูดหรือเขียนอะไรน้า

  1. video sample 👧🏻: ของมี่ได้หัวข้อเรื่อง what is something you're able to do today that you weren't able to do 1 year ago? ก็ตอบไปเลยเต็มที่ มี่ตอบแบบเต็มจน duolingo ตัดไปเองเพราะเวลาหมด ตรงนี้อยากพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกันกับหัวข้อก็คือพูดไปเลยจ้า be positive นิดนึงนะะะะ

  2. writing sample ✍️: มี่ได้หัวข้อ why should teenagers learn a new language? ซึ่งก็ค่อนข้างถนัด ก็เลยแชร์ประสบการณ์ของตัวเองไปเพราะเป็น bilingual เขียนให้กระชับแล้วก็ได้ใจความพร้อมกับสอดคล้องกับสิ่งที่เค้าถามด้วย

หน้าจอตอนที่อัพโหลดข้อสอบกลับไป (ลุ้นมาก) 😵

พอทำทั้ง 3 parts จบ ตัวระบบก็จะสอบถามเพิ่มเติมนิดหน่อย เช่น คะแนนที่คิดว่าตัวเองจะได้ หรือจุดประสงค์ที่จะเอาคะแนนไปใช้ และจำนวนปีที่เรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งพอจบตรงนี้ตัวระบบก็จะแจ้งว่าอย่าเพิ่งปิดคอมไปเพราะว่ามันต้องอัพโหลดข้อสอบลงกลับไปที่ระบบใหม่ ภาวนาเอานะว่าระบบอย่าหลุด ห้ามหลุด ขี้เกียจสอบใหม่แล้วนะ 555555 พอมาถึงตรงนี้จะลุกไปทำนั่นนี่หรือจะไปทำอย่างอื่นก็ได้นะ แต่ว่าห้ามปล่อยคอมดับหรือว่ากดไปโดนที่คอมแล้วเด้งออกเอง (อันนี้แต้มบุญเหลือ 0 นะ อย่าหาทำ จงมีสติ!) ของมี่อัพนานมาก เกือบ 10 นาทีเลย ตอนแรกนึกว่าเน็ตจะขิตแล้ว เพราะเน็ตบ้านเราแย่มาก 😂

อัพโหลดเสร็จแล้ววว 🙏

หลังจากที่รอลุ้นมา ในที่สุดข้อสอบก็อัพโหลดเสร็จสักทีนะ มันจะขึ้นมาเป็นแบบนี้แล้วจะบอก email ของผู้สอบที่จะทาง duolingo จะส่งเมลไปบอกตอนที่ผลสอบของเราออกแล้วด้วย ถ้าขึ้นแบบนี้ก็กด done แล้วออกจากแอพมาได้เลยจ้า ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ๆ 😚

อีเมลแจ้งเตือนว่าผลสอบเรากำลังถูกตรวจอยู่ 😀

ของมี่อัพโหลดผลสอบออกไปตอน 22.58 ในวันที่สอบพอดี และหลังจากสอบเสร็จไม่นานมี่ก็ไปนอน เพราะว่าไม่อยากลับลู้วววว หนีไปนอนก่อน when nothing goes right, go to sleep 😂 ตอนแรกกะว่าถ้าผลไม่ออกภายในอีกวันก็จะรีบนอนเพราะไม่อยากใช้เวลาไปกับการรอเพื่อที่จะรู้ (กะฆ่าเวลาโดยการนอนแหละ ดูออก 😒)

เมลจาก duolingo มาเตือนพอดีว่าผลสอบออกแน้วนะเตง 🥶

กะว่าจะยังไม่เปิดดูตอนแรกเพราะกลัวคะแนนจะออกมาน้อย แต่พอกดไปดูผลสอบก็คือดีใจมากกกก 😙 ผลสอบออกภายใน 5 ชั่วโมงแบบไม่โดนเรียกสอบใหม่ รอดแล้วววววว 🥳

ปล. ของบางคนอาจจะออกช้าหรือออกไวกว่านี้ก็ได้นะคะ แต่ว่ายังไงก็ไม่เกิน 48 ชั่วโมงหรือ 2 วันค้าบ

 

💬 มาดูคะแนนของมี่กัน!

คะแนนมาแล้ว overall 130/160 ค่า ❤️

คะแนนของมีมี่ออกแล้วน้าาาา 🤩 แปะ description เรื่องคะแนนรวมไว้ให้ก่อนนนนน

Overall: 130/160

The test taker's ability to use English in a variety of modes and contexts.

  • Can understand a variety of demanding written and spoken language, including some specialized language use situations.

  • Can grasp implicit, figurative, pragmatic, and idiomatic language.

  • Can use language flexibly and effectively for most social, academic, and professional purposes.

sub-scores ไม่ต่ำกว่า 125 เลย ดีใจมั่กกกก 😮

คะแนน overall ก็คือออกมาได้เยอะกว่าที่เคยสอบไปตอน scale ยัง 100 อยู่นะ ส่วนตัวโอเคกับคะแนนนี้มาก ๆ เลยเพราะว่ามันเกิน standard ของการยื่นเข้า u ในต่างประเทศไปเยอะมาก (ส่วนมากขนาด top u ในเมกากับอังกฤษยังขอกัน 110-120 แต่เราได้ 130 555555555) ถ้า u กลาง ๆ ก็คือ 90-105 โดยประมาณค่าา ที่เหนือความคาดหมายคือคะแนนมันไปด้วยกันหมดเลยอะ แบบไม่ได้มีอันไหนน้อย ไม่มีอันไหนโดดเยอะเกิน ถถถถ เห็นแล้วนึกถึงตอนสอบ IELTS มากที่สกิลของมี่จะคะแนนเท่ากันหมด (6.5) ส่วน writing จะอ่อนกว่า อันนี้ก็เช่นกัน มันค่อนข้างเคลียร์ว่าสกิล 4 ด้านนี้ของมี่มันไม่ทิ้งห่างกันมาก (ถือว่าเป็นเรื่องดีมั้ยนะ) 😝

ระดับ CEFR จากระดับที่มี่ได้มาก็คือ C1 Advanced นั่นเอง 😙

ในที่สุดก็ C1 สักทีนะ 5555555 แต่ก็จะเรียนภาษาอังกฤษต่อไปเรื่อย ๆ เพราะชอบเรียนภาษาต่างประเทศนั่นแหละ 🥰

ตารางเทียบคะแนน DET กับ IELTS ✨

ก็คือมี่ได้ระดับประมาณ IELTS 7.5 นั่นเอง แต่จากที่เคยฟังครูเจี๊ยบมาก็คือครูเจี๊ยบบอกว่าถ้าได้คะแนน DET มาแบบไหนที่เทียบได้ IELTS ได้เท่านี้ ให้ลดลงอีก 0.5 แบนด์เพื่อที่จะได้คะแนนที่แม่นยำมากขึ้น ก็เท่ากับว่าระดับของมี่คงอยู่ที่ IELTS 7.0-7.5 ก็ได้

ตารางเทียบคะแนน DET กับ TOEFL iBT ☀️

ถ้าเทียบกันกับ TOEFL iBT ก็จะอยู่ที่ 103-108 คะแนนสำหรับ sub-scores 125 และ 108-112 สำหรับคะแนนที่เป็น 130 ค้าบ 🎉 แต่จริง ๆ ไม่อยากเทียบกับ TOEFL iBT เท่าไหร่เพราะว่าไม่เคยสอบด้วยบวกกับได้ยินมาว่า TOEFL iBT ก็เน้นด้าน academic มากกว่าด้วย แต่ข้อดีคือมันจะเป็น multiple choices

การอธิบาย sub-scores ของ duolingo english test 🖊

sub-scores ของ duolingo จะไม่ได้แบ่งเป็น listening, reading, writing & speaking แบบเต็มตัวเหมือนของ tests ภาษาอังกฤษอื่น ๆ มันเลยจะงงนิด ๆ นึงนะคะ แต่ก็ไม่ได้เข้าใจยากขนาดนั้น 🙏

♦︎ สำหรับใครที่สงสัยเรื่อง sub-scores เพิ่มเติมก็ไปคลิกอ่าน understanding your scores ได้เลยน้า รายละเอียดเรื่องคะแนนจะอยู่ในนี้หมดเลย และก็จะมีลิงก์นี้ตรงที่ certificate ของเราด้วยจ้า

 

🙏 แฮ่ ขอบคุณที่มาติดตามกันค้าบบบบ (มีแถมสาระให้น้อง ๆ ที่สนใจจะเข้า MUIC นิดหน่อยจ้า) ✨

สำหรับการรีวิว Duolingo English Test (ver. 2021) ของมี่ก็จบลงแค่นี้ค่ะ 😄

หวังว่าการรีวิว DET 2021 จะช่วยน้อง ๆ ที่จะเข้า MUIC, CU inter หรือมหาวิทยาลัยในต่างแดนที่เปิดรับ Duolingo English Test ได้มากขึ้นนะคะ (เพราะว่าเห็นตอนนี้ CU inter ก็รับ DET ด้วยแล้วเหมือนกันนะ) เราขอโทษจริง ๆ ที่จำเรื่องสิ่งที่เจอตอนสอบไปไม่ค่อยได้ ทำให้เขียนแชร์ได้น้อยกว่าปกติ แต่หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับคนที่เตรียมตัวสอบ DET อยู่จริง ๆ นะคะ เพราะว่าไม่ค่อยเห็นคนรีวิวข้อสอบตัวนี้เท่าไหร่ แต่มันก็มาแรงไม่แพ้ English proficiency tests อื่น ๆ เลย ถือว่าเป็น alternative test ก็พอน้า เพราะว่า main หลักของเรา เราก็ยังให้ IELTS กับ TOEFL iBT หรือ Cambridge อีกอยู่ดีนั่นแหละ 😀


น้อง ๆ คนไหนที่กำลังจะสมัครเข้าเรียนระดับปริญญาตรีหรือ undergraduate ที่ต่างประเทศ แวะมาอ่านบล็อคนี้ต่อกันได้นะคะ 😙

  • รีวิวการสมัครเข้าเรียนและสอบ writing essay ของ MUIC (มี่ติด IC ค้าบ ยื่น IELTS overall 6.5 แต่ writing ได้ 5.5 เลยต้องสอบข้อเขียน ตอนปี 2019 น้า: review applying to MUIC by Mie 👩🏻‍🎓

  • รีวิวการเรียน MUIC media com (นิเทศอินเตอร์ที่มิวอิค) part 1 #ฉบับเด็กเก็บเครดิตนรก ใครอยากได้สโคปว่าแต่ละวิชาเรียนอะไรบ้าง (วิชาปี 1-2: วิชา ERS, EC 1-2 และวิชา media com core subjects) พร้อม tips การลงเรียนผ่าน SKY (เด็ก MUIC จะเรียกกันว่า SKY WAR) เด็กเข้ามาใหม่ห้ามพลาด! 👩🏻‍💻: MUIC media com part 1 by Mie

  • รีวิวการเรียน MUIC media com (นิเทศอินเตอร์ที่มิวอิค) part 2 #ฉบับเด็กเก็บเครดิตนรก ใครอยากได้สโคปว่าแต่ละวิชาเรียนอะไรบ้าง (วิชาปี 2-3: วิชา EC 3 public speaking, วิชาของ creative content concentration และ film production major electives) และการอธิบายเรื่องหลักสูตรต่าง ๆ ที่น้อง ๆ จะต้องเก็บเครดิตเพื่อที่จะ graduate ตาม requirements ของสาขาตัวเอง ใครยังไม่เข้าใจเรื่อง course structure หรือการลงเรียนแบบระบบ trimester ก็ห้ามพลาดเช่นเดียวกันนะ! 📽: MUIC media com part 2 by Mie

  • การสมัครเรียน universities ระดับปริญญาตรีที่ต่างประเทศ (ออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์) ในสาขาแนวเด็กฟิล์ม ที่ Macquarie University (B.Media.Com in Screen Practice and Production) ประเทศออสเตรเลีย 🦘 และ Victoria University of Wellington (BA Theatre and Film) 🥝: applying to MQU & VUW by Mie

  • วิธีสมัครเรียนต่อโดยการ transfer เครดิตจากมหาวิทยาลัยในไทยไปที่อเมริกาที่ Maryville College, Tenesseee สาขา BA Writing Communication และ The University of Idaho, Idaho สาขา BA Film & TV studies แบบ transfer student 🇺🇸: transfer student applying to US college & university by Mie

  • สอบ Duolingo English Test ตอนปี 2018 ฉบับผู้มาก่อนกาล (นิดนึง) ⌨️ : duolingo english test 2018 version by Mie

  • น้อง ๆ หรือผู้ปกครองที่สนใจจะเข้า Mahidol University International College (MUIC) หรือวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล สามารถมา join กรุ๊ปนี้ได้เลยค่า เป็นกลุ่มของมี่เองค่ะ: link กลุ่มทีมคนสอบเข้า MUIC

*เป็นผู้ปกครอง กรุณาระบุว่าเป็นผู้ปกครองนะคะ เช่น "ผู้ปกครองค่ะ จะมาหาข้อมูลให้ลูกค่ะ"

ถ้าเป็น prospective students ก็กรอกข้อมูลตามคำถามที่ถามไปปกติเลยค่ะ (อย่าลืมกด agree ตรงข้อ 3) และก็ไม่รับ tutorial schools ที่คิดจะมาหาผลกำไรเข้าตัวเองค่ะ (ยกเว้น​ MUIC alumni เท่านั้น) ปกติทาง team จะสแกนทุกคนก่อนเข้ากลุ่มอยู่แล้ว ถ้าเป็น tutor เข้ามาแล้วจะโปรโมทสถาบันตัวเองจะบล็อคถาวรค่ะ 🙂

**กลุ่มนี้จะไม่เกี่ยวกับหลักสูตรนานาชาติของคณะอื่น ๆ หรือว่าภาคไทย/หลักสูตรไทย/หลักสูตรปกติของมหาวิทยาลัยมหิดลนะคะ

- สาขาต่าง ๆ เช่น LAMU ที่เป็นนานาชาติจีนกับ Shanghai Jiao Tong ของคณะศิลปศาสตร์

- MUICT อันนี้จริง ๆ คือ MU-ICT ค่ะ ไม่ใช่ของ MUIC แต่เป็นของคณะ ICT นะ

- MUIC ไม่มีสาขา nursing หรือพยาบาลด้วยค่ะ และสาขาแพทยศาสตร์โดยตรงก็ไม่มีค่ะ มีแต่ biological science ซึ่งระบบการเรียนจะเหมือนของฝั่งอเมริกา คือต้องเรียนป.ตรีให้จบก่อน 4 ปีและไปต่อที่ St. George's University อีก 4 ปี (เป็น partner กับ MUIC หรือจะไปเรียน CU-Medi ก็ได้เพราะ MUIC เพิ่ง signed MOU ไปไม่นาน) หรือจะไปต่อ med schools ต่างประเทศก็ได้ เท่ากับการจะเรียนให้ได้ MD ก็คือ 8 ปีเหมือนต่างประเทศค่ะ MUIC ไม่มีหลักสูตร 6 ปีได้ MD แบบภาคไทยนะคะ (ปกติต่างประเทศเค้าเรียนแบบนี้จริง ๆ ค่ะ มีประเทศไทยนี่แหละเรียน 6 ปีได้ MD เลย)

- สาขาต่าง ๆ ของภาค SIM มหิดลก็ไม่เกี่ยวอะไรกับ MUIC เลยค่ะ เท่ากับว่าถ้าสนใจคณะที่มี่กล่าวไปและมาขอเข้ากลุ่ม ทาง team จะขอกด decline นะคะเพราะไม่มีความ related กับ MUIC เลยค่ะ

- MUIC คือคณะหนึ่งของมหาวิทยาลัยมหิดลค่ะ majors หรือสาขาต่าง ๆ จะอยู่ใน MUIC ทั้งหมด เช่น BBA Marketing MUIC จะเรียกเป็น "major BBA Marketing ที่วิทยาลัยนานาชาติ หรือ IC" ไม่ใช่ "เรียนคณะ BBA ค่ะ"

  • สำหรับคนที่งงว่า MUIC มีกี่ majors? ตอนนี้มีทั้งหมด 18 majors ค่ะ เดี๋ยวมี่จะเขียนไว้ให้ตรงนี้นะคะ หรือเพื่อความชัวร์แนะนำให้ดูจาก page นี้เลยค่ะ (MUIC majors):

  1. Bachelor of Business Administrations (B.B.A) 4 สาขา: Business Economics, Finance, Marketing, International Business

  2. Bachelor of Arts and Science (B.A.Sc.) 1 สาขา: Creative Technology

  3. Bachelor of Fine Arts (B.F.A.) 1 สาขา: Communication Design

  4. Bachelor of Engineering (B.Eng.) 1 สาขา: Computer Engineering

  5. Bachelor of Arts (BA) 2 สาขา: Intercultural Studies and Languages, International Relations and Global Affairs (IRGA)

  6. Bachelor of Communication Arts (B.Com.Arts.) 1 สาขา: Media and Communication

  7. Bachelor of Science (B.Sc.) 7 สาขา: Applied Mathematics, Biological Science, Chemistry, Computer Science, Food Science and Technology, Environmental Science, Physics

  8. Bachelor of Management (B.M.) 1 สาขา: Travel and Service Business Entrepreneurship

*มี่เขียนทั้งหมด 18 majors ตอน Dec 2021 ค่ะ


ใครที่แวะผ่านมาอ่านบล็อคของมี่พอดี รบกวนช่วยกดติดตามหรือกดไลก์เพจให้ด้วยนะคะ 🙏

ช่วยมี่ด้วยยยยย หรือใครอยากทักมาคุย มาเล่าเรื่อง มาถามอะไรก็ทักมาได้เหมือนกันน้าาาา 🤙

📘 FB page: Mie as a media com student - ชีวิตมี่เมื่อเรียนมีเดียคอม

🎞 Instagram: Miedya_thetraveller


ขอบคุณมาก ๆ ที่ติดตามและอ่านบล็อคนี้ของมี่นะคะ 🙏

 

first posted: 14 December 2021 - 9.00 AM

updated: 8 December 2022 - 11.43 AM

2,754 views

Comments


Commenting has been turned off.
bottom of page